Quantcast
Channel: Headbangkok
Viewing all 6406 articles
Browse latest View live

ออกตัวแรง: ภาพยนตร์ “Bohemian Rhapsody”กวาด 2 รางวัลลูกโลกทองคำ

$
0
0

นอกจากเป็นภาพยนตร์แนวชีวประวัติดนตรีที่ทุบสถิติรายได้ของโลกแล้ว Bohemian Rhapsody ก็ยังเดินหน้าประกาศความยิ่งใหญ่ต่อไป

ล่าสุดว่าที่หนังตำนานเรื่องนี้ก็เพิ่งไปกวาดรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ Golden Globe Awards มาสองรางวัลถ้วน ได้แก่ Best Motion Picture – Drama category หรือภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยม และ Rami Malek นักแสดงผู้รีบบทเป็น Freddie Mercury ก็ได้รับรางวัล Best Actor in a Motion Picture – Drama มาครอบครองด้วย

นอกจาก Rami Malek แล้ว ในรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลสาขาเดียวกันยังมีผู้รับบทเป็นนักดนตรีด้วยอีกหนึ่งคน คือ Bradley Cooper จากเรื่อง A Star is Born (ซึ่งจากมุมของผู้เขียนแล้ว แม้จะเป็นงานที่สเกลและความขลังน้อยกว่า แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรับชมมากครับ)

นอกจากลูกโลกทองคำ อีกสำนักที่ Bohemian Rhapsody จะต้องไปลุ้นรางวัลก็คือ Academy Awards หรือที่เรารู้จักและเรียกติดปากกันในชื่อ Oscars ซึ่งก็ต้องรอกันต่อไปอีกราวเดือนกว่า ๆ เพราะงานประกาศรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody กันได้ที่นี่

[ ที่มา – Ultimate Classic Rock ]


รอบนี้ไม่หลุด: “Cross Off”โดย Chester Bennington แห่ง Linkin Park และ Mark Morton มือกีตาร์ Lamb of God

$
0
0

หลังจากที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาเพราะเหตุการณ์ ‘เพลงหลุด’ ล่าสุด “Cross Off” บทเพลงที่ Chester Bennington นักร้องนำวง Linkin Park ผู้ล่วงลับร่วมทำกับ Mark Morton มือกีตาร์วง Lamb of God เอาไว้ก็พร้อมปล่อยให้ฟังกันอย่างเป็นทางการแล้ว

ตัวเพลงเปิดด้วยเสียงร้องที่เราคุ้นเคยกันดี “Cross off the day gone / cross off the day gone” ตามมาด้วยการสำรอก “Gone by!” และริฟฟ์กีตาร์สำเนียงดุดันอันชวนให้นึกถึงเพลงของ Lamb of God ก็ดังตามขึ้นมาในทันที

เพลงนี้ผสมผสานระหว่างเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chester กับซาวด์ดนตรีเมทัลในสำเนียงของ Mark Morton เข้ากันได้ดี นอกจากริฟฟ์ขยี้โสตประสาทแล้ว การจัดวางโครงสร้างความหนัก-เบาของเพลงก็ทำออกมาได้พอเหมาะพอดี เป็นเพลงเมทัลหนัก ๆ ที่เสิร์ฟให้แฟนเพลง Linkin Park ที่ไม่ได้ชอบเมทัลฟังได้สบาย ๆ — ท่อนระเบิดพลังในช่วงท้ายเพลงของ Chester ชวนฮึกเหิมและทำให้รู้สึกเสียดายในเวลาเดียวกัน ว่าเราจะไม่มีวันได้ฟังเพลงนี้จากปากของเจ้าตัวสด ๆ แน่นอน

“Cross Off” เป็นซิงเกิลที่สองของ Anesthetic ผลงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ Mark Morton ซึ่งนอกจากร็อกสตาร์ผู้ล่วงลับแล้ว ในอัลบั้มนี้ยังมีแขกรับเชิญอีกเพียบ เช่น Jacoby Shaddix (Papa Roach), Myles Kennedy (Alter Bridge), Josh Todd (Buckchery) รวมถึง Alissa White-Gluz (Arch Enemy) และ Randy Blythe เพื่อนร่วมวง Lamb of God ที่มาร่วมร้องเพลงด้วยในซิงเกิลแรกของอัลบั้ม ชื่อว่า “The Truth is Dead”

Mark และ Chester ทำเพลงนี้ร่วมกันในช่วงเดือนมีนาคมปี 2017 ก่อนที่กระบอกเสียงของพวกเราจะลาโลกนี้ไปเพียงสามเดือนเท่านั้น ซึ่งในช่วงหลังจากนั้นทางวงก็ออกทัวร์กันต่อเนื่องจนอดคิดไม่ได้ว่า อาจไม่ได้ทำเพลงใหม่เก็บไว้ในระหว่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพลงนี้ก็จะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Chester Bennington บนโลกใบนี้อย่างเป็นทางการ

อัลบั้ม Anesthetic จะวางจำหน่ายในวันที่ 1 มีนาคมนี้กับค่าย Spinefarm Records

นักร้องนำ Amon Amarth เผยเรื่องราวเบื้องหลังเพลงใหม่: ไวกิ้งผู้บ้าคลั่งที่สังหารชาวอังกฤษ 40 คนในคราวเดียว

$
0
0

เมื่อสองสามวันก่อนมีโอกาสได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Johan Hegg ฟรอนต์แมน Amon Amarth วงเมโลดิกเดธเมทัลรุ่นใหญ่และชื่อดังจากประเทศสวีเดน เกี่ยวกับความคืบหน้าของอัลบั้มเต็มชุดใหม่ลำดับที่สิบเอ็ด และพบเนื้อหาที่น่าสนใจหลายเรื่อง


1.
งานชุดนี้ยังคงเล่าเรื่องราวของชาวไวกิ้ง

2.
ความแตกต่างระหว่างอัลบั้มที่ยังไมไ่ด้ตั้งชื่อชิ้นนี้ กับ Jomsviking งานชุดก่อนหน้านี้คือ Jomsviking มีคอนเซ็ปต์และเรื่องราวเป็นวัตถุดิบในการเล่าเรื่องรออยู่ก่อนแล้ว และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัลบั้มดังกล่าวประสบความสำเร็จมาก ในแง่ของคำวิจารณ์ผู้คนในแวดวงเพลงเมทัลทั่วโลก แต่กับอัลบั้มนี้ไม่มีการวางแผนใดใดในเรื่องของเนื้อหา

3.
Johan Hegg บอกว่ากับงานชุดนี้เขารู้สึก ‘ขี้เกียจนิดหน่อย’ ก็เลยปล่อยให้เพื่อนร่วมวงทำดนตรีกันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาดูว่าจะแต่งเนื้อเพลงไปในทิศทางใด

4.
J. Bennett ผู้สัมภาษณ์ได้ฟังเพลงจากอัลบั้มใหม่สด ๆ ไปแล้ว 8 เพลงในสตูดิโอที่แคลิฟอร์เนียที่ทางวงบินมาทำเพลงกัน ซึ่ง Johan เล่าว่าเพลงเดียวที่วางไอเดียเนื้อหาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าสตูดิโอคือเพลงที่มีชื่อว่า “Berserker at Stampford Bridge” (นักรบผู้บ่าคลั่งแห่งสะพานสแตมฟอร์ด)

5.
เรื่องราวของนักรบคนนี้ Johan ได้มาจากเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่เล่าเอาไว้ว่า ในช่วงใกล้สิ้นสุดยุคสมัยของชาวไวกิ้ง มีครั้งหนึ่งที่ชาวไวกิ้งต้องถอนทัพออกจาก Stampford Bridge ในประเทศอังกฤษเนื่องจากเจ้าของดินแดนใช้กลยุทธิ์แบบเดียวกับชาวไวกิ้งในการโต้กลับ (จุดเด่นของชาวไวกิ้งที่มีเหนือชาวอังกฤษคือเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเคลื่อนไหวในเวลากลางคืน) ทำให้กำลังทัพของชาวไวกิ้งที่เหลือเพียง 3,000 คนต้องถอนทัพกลับไปตั้งหลักใหม่เพราะทหารอังกฤษมีมากถึง 15,000 นาย แต่สุดท้ายชาวไวกิ้งก็ส่งคนเพียงคนเดียว กับขวานหนึ่งด้าม กลับเข้าไปที่สะพานแห่งดังกล่าวเพื่อกำราบเหล่าผู้ดีให้หมดสิ้น

6.
Johan เล่าว่าเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารที่เขียนในภาษาของชาวแองโกล-แซกซัน (ภาษาของชาวอังกฤษยุคแรก) โดยเล่าว่าชายถือขวานหนึ่งเดียวคนนี้สามารถจัดการฝ่ายอังกฤษไปได้มากถึง 40 คนก่อนที่จะถูกกำราบลงอย่างยากเย็น ด้วยการส่งคนสี่คนล่องแพออกไปและแทงด้วยหอกจากด้านข้างเข้ามา

7.
ตา Johan บอกว่า มันเขียนด้วยภาษาของพวกคนอังกฤษ ไม่ใช่ภาษานอร์สของชาวเหนือ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องจริงสิวะ! แถมบอกอีกด้วยว่าหรือบางทีตำนานคนดังกล่าวอาจจะฆ่าฝ่ายอังกฤษได้มากกว่านี้ (แต่ถูกตบแต่งตัวเลข) ก็เป็นได้

8.
อัลบั้มนี้ยังไม่มีทั้งชื่อและกำหนดการวางจำหน่าย แต่ถ้าทำเสร็จตั้งแต่เดือนมกราคมแบบนี้ คาดว่าคงใช้เวลารอไม่เกิน 2-3 เดือนก็น่าจะได้ฟังเพลงใหม่และรู้วันวางจำหน่ายที่แท้จริง


อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ Revolver

4 เหตุผลง่าย ๆ ว่าทำไมคอนเสิร์ต Slash รอบนี้ถึงควรค่าแก่การควักเงิน

$
0
0

อีกแค่วันเดียว Slash มือกีตาร์ผมฟูผู้เป็นไอคอนของวงฮาร์ดร็อกระดับตำนาน Guns N’ Roses ก็จะเปิดคอนเสิร์ตในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ประเทศไทยกันอีกครั้ง

หลายคนที่พลาดการมาเยือนไทยครั้งแรกน่าจะได้ฟินกับคอนเสิร์ต Guns N’ Roses เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่สนามกีฬา SCG Stadium กันไปแล้วและเลือกที่จะข้ามอีเวนต์นี้ไป แต่เราบอกได้เลยว่า ‘มันไม่เหมือนกัน’


เซ็ตลิสต์ฉบับ Slash แบบเต็มเปี่ยม

ถ้าใครทันดูคอนเสิร์ตของ Slash ตอนมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกน่าจะพอจำได้ว่า เซ็ตลิสต์งานวันนั้นราวครึ่งหนึ่งเป็นการยกเพลงของ Guns N’ Roses ขึ้นมาเล่น ซึ่งไม่แปลก เพราะการมาเยือนครั้งนั้นเขาเพิ่งออกอัลบั้มเต็มในนามตัวเองมาแค่ชุดเดียว

แต่จากที่เช็กเซ็ตลิสต์หลาย ๆ งานก่อนหน้านี้ แทบไม่เหลือเพลงของ Guns N’ Roses อยู่ในเซ็ตลิสต์แล้ว (ที่สิงคโปร์มี “Nighttrain” เพลงเดียว)

ซึ่งที่เป็นแบบนั้นก็น่าจะมาจากการที่ว่า เจ้าตัวมีงานออกมาหลายชุดแล้วนั่นแหละครับ มี Slash ที่เป็นงานเดี่ยวแนวรวมมิตรหนึ่งชุด กับงานที่ออกในนาม Slash featuring Myles Kennedy & The Conspirators อีกตั้งสามชุด เพลงดี ๆ มัน ๆ สร้างกันมาตั้งเยอะแยะ จะไม่เล่นเลยก็แปลก เอาเป็นว่า ถ้าต้องการสัมผัสความเป็น Slash แบบเต็มที่ ต้องมา เพราะนี่ไม่ใช่งานคัฟเวอร์ Guns N’ Roses แต่อย่างใด

สถานที่เดินทางง่ายกว่า

การเดินทางไปเมืองทองธานีไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ว่าจะในวันธรรมดาหรือวันหยุด นอกจากไกลแล้วการจราจรยังเข้าขั้นบัดซบด้วย แต่กับคอนเสิร์ตรอบนี้ ดูกันแบบสบาย ๆ ที่ GMM Live House ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 8 ไปง่ายกว่า กลับง่ายกว่า รถไฟฟ้ามี ห้างมีที่จอดให้ ฮอลนี้ออกแบบมาเพื่อคอนเสิร์ตสเกลหลักหลายพันคนและจัดงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เรื่องซาวด์ ถ้าทีมงานด้านเสียงไม่ขาดความสามารถจนเกินไป น่าจะจัดการให้ความร็อกจากเวทีส่งกระหึ่มไปทั่วห้องได้ไม่ยากเลย

มี The Sun เล่นเปิด

ลองถามตัวเองกันดูว่า ในยุคนี้ เราจะมีโอกาสได้ดูตำนานร็อก/เฮฟวีเมทัลเมืองไทยวงนี้แสดงสดกันอีกซักกี่ครั้ง? ยิ่งเป็นงานใหญ่ระดับเปิดให้โคตรตำนานอย่าง Slash ด้วยแล้ว เราเชื่อเหลือเกินว่าเซ็ตลิสต์ของวงจะไม่ได้มีแค่เพลงบัลลาดร็อกช้าเอาใจขาป๊อปตามโรงเบียร์อย่างเดียว แต่จะมีแทร็กมัน ๆ มาแสดงสดให้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ได้สะบัดหัวตามกันแน่นอน (เขียนอวยขนาดนี้แล้ว พี่โป่งอย่าทำให้ผมหน้าแตกนะครับ)

บัตรยังมีขาย!

อ่านมาจนถึงตรงนี้คุณน่าจะรู้แล้วว่านี่คือบทความ advertorial เอาเป็นว่า ถึงจะเคยดู Slash เมื่อปี 2011 ไปแล้ว หรือเพิ่งดู Guns N’ Roses มา ก็มาเถอะครับ เพลงมันคนละเซ็ตกัน ใช้เวลาหลังเลิกเรียน-เลิกงานกับดนตรีดี ๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสดูบ่อย ๆ ซักชั่วโมงสองชั่วโมง มันเติมเต็มความสุขให้เราได้อีกหลายวันเดือนปีเลยนะครับ ว่าแล้วก็คลิกไปที่ไทยทิกเก็ตเมเจอร์กันได้เลยจ้า


“Don’t Cry”เพลงร็อกซาวด์ละมุนเพลินรูหู ผลงานใหม่ล่าสุดจาก Emarosa

$
0
0

Emarosa วงอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากเมืองเล็กซิงตัน รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา ปล่อยซิงเกิลใหม่ “Don’t Cry” จากอัลบั้มเต็มลำดับที่ห้า Peach Club ออกมาให้ฟังกันแล้ว

จุดขายในความเป็นวงร็อกซาวด์ละมุนยังไม่หายไปไหน “Don’t Cry” มากับซาวด์ป๊อปร็อกร่วมสมัยจังหวะเนิบช้าเป็นรากฐานให้ Bradley Walden นักร้องนำใช้เสียงของตัวเองนำพาเนื้อเพลงเล่าเรื่องราวไป แม้จะเป็นเพลงที่ไม่ได้เน้นความหนักหน่วง แต่ก็ถือว่าเขียนขึ้นมาได้ติดหูดีมาก ๆ ถือเป็นนักร้องยุคใหม่อีกคนที่ฝีไม้ลายลายมือดีจนอยากดูการแสดงสดมาก ๆ และเป็นวงที่มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่

เพลงนี้ทางวงเปลี่ยนมาใช้บริการ Courtney Ballard โปรดิวเซอร์และซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เคยผ่านการทำอัลบั้มให้กับวง Sleeping with Sirens, The Color Morale, Waterparks มาแล้ว ซึ่ง Bradley นักร้องนำพูดถึงเพลงนี้เอาไว้ว่า:


“เพลง Don’t Cry เป็นเพลงแรกที่เราเปลี่ยนมาทำร่วมกับโปรดิวเซอร์คนใหม่ Courtney Ballard ครับ ผมจำได้เลยว่ารูมเมทของผมบอกผมว่า ‘เพลงนี้เจ๋งที่สุดเลยตั้งแต่ที่นายเคยทำมา’ ซึ่งผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เพลงนี้เป็น เพลงนี้คือบทเรียน มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งร้องไห้กับนมที่หกไปแล้ว คุณอาจจะทำมันหกอีกก็ได้*”


*Don’t cry over split milk เป็นสุภาษิตของฝรั่งที่หมายความว่า อย่าไปเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปและไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกต่อไป

อัลบั้ม Peach Club เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับทีห้า แต่เป็นงานชุดที่สองที่ทางวงทำร่วมกับค่าย Hopeless Records จะวางจำหน่ายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้

ทุกคนมีวันสดใส: ส่องภาพเหล่าร็อกสตาร์วัยเด็ก ยุคก่อนก้าวขึ้นเป็นตำนานของวงการเพลง

$
0
0

และ วันเด็กแห่งชาติ ก็ใกล้จะวนกลับมาให้ชาวไทยได้เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นเด็กน้อยเพื่อรำลึกความหลัง ว่าก่อนจะเป็นแบบทุกวันนี้ พวกเราก็เคยเป็นเด็กกันมาก่อน

ไม่ใช่แค่เรา แต่เหล่าร็อกสตาร์ที่เทิดทูนก็เคยเป็นเด็กมาก่อนเช่นกัน

จากการค้นคว้า (หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเสิร์ช Google) ก็ทำให้พบว่ามีเว็บไซต์มากมายที่รวบรวมภาพ Rockstar Yearbook Photos ไว้แล้ว เราจึงคัดภาพบางส่วนของบุคคลเหล่านี้มาให้ชมกัน ซึ่งถ้าใครอยากดูเต็ม ๆ กันต่อได้ที่เว็บไซต์ Atchuup!

อย่าเสียเวลาอารัมภบทกันนาน ไปดูกัน


Steven Tyler นักร้องนำ Aerosmith

Axl Rose นักร้องนำ Guns N’ Roses

Kurt Cobain ฟรอนต์แมน Nirvana

Marilyn Manson

James Hetfield ฟรอนต์แมน Metallica

Jon Bon Jovi

Kirk Hammett มือกีตาร์ Metallica

Slash มือกีตาร์ Guns N’ Roses

Trent Reznor แห่ง Nine Inch Nails

Zakk Wylde มือกีตาร์/นักร้องนำ Black Label Society

Zack de la Rocha นักร้องนำ Rage Against the Machine

Wes Borland มือกีตาร์ Limp Bizkit

Chester Bennington นักร้องนำ Linkin Park

Fred Durst นักร้องนำ Limp Bizkit

Corey Taylor นักร้องนำ Slipknot

Jonathan Davis นักร้องนำ Korn


วัยเด็กที่ผ่านพ้นไปอาจไม่หวนกลับมาอีกแล้ว แต่การได้ย้อนรำลึกกับภาพเก่า ๆ ก็ทำให้เราได้ขุดความรู้สึกสดใหม่และเต็มไปด้วยความฝันในวันวานขึ้นมากระตุ้นใน ‘วันที่หมดไฟ’ ได้ดีเหมือนกันนะครับ

สุขสันต์วันเด็ก (ล่วงหน้า) ครับผม

[ ข่าวลือ ] Supreme กำลังทำคอลเล็กชันใหม่ร่วมกับวง Slipknot

$
0
0

เมื่อพูดถึง Slipknot นอกจากดนตรีเมทัลอันหนักหน่วงสะใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับวงหน้ากากจากนรกวงนี้ที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กันก็คือ ‘เสื้อวง’ ซึ่งตอนนี้แฟชั่นของ Slipknot ก็กำลังจะถูกยกระดับให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น ด้วยการ collaborate กันกับแบรนด์สตรีทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ราคาแรงแห่งวงการแฟชั่นยุคปัจจุบัน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแบรนด์สเก็ตบอร์ดดังจากนิวยอร์กอย่าง Supreme

มีข่าวลือจากทวิตเตอร์ @DropsByJay ออกมาเมื่อวันอังคารที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาว่าคอลเล็กชัน Supreme x Slipknot จะออกจำหน่ายในช่วงซีซัน Spring/Summer ’19 (กลางปีนี้) โดยจะประกอบไปด้วยเสื้อยืด เครื่องประดับ สติกเกอร์ และสินค้าอีกหลายประเภท

ในอดีต Supreme เคยร่วมผลิตเสื้อผ้ากับวงดนตรีร็อก-เมทัลอยู่หลายต่อหลายครั้งในตลอด 25 ปีของแบรนด์ อาทิ Slayer, Bad Brains, Misfits, The Clash และ Public Enemy ซึ่งทุกครั้งที่ทำออกมา นอกจากความนิยมที่มีสูงกว่าเสื้อยืดวงดนตรีปกติทั่วไปแล้ว ราคาขายต่อในตลาดมือสอง หรือ resale ยังมีมากกว่าด้วย — แหม่ Supreme นี่มัน Supreme จริง ๆ

ในขณะที่ยังไม่มี ‘ภาพหลุด’ สินค้าจริงออกมาให้ชมกัน ก็มีสื่อหลายเจ้าเริ่มออกมาทำภาพม็อกอัพกันเล่น ๆ ว่าในคอลเล็กชัน Supreme x Slipknot น่าจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน

นี่คือภาพจากจินตนาการของนิตยสาร Kerrang!

และนี่คือภาพจากจินตนาการของอินสตาแกรม @supreme_leaks_news


ความเห็นจากผู้เขียน: ก็ได้แต่หวังว่าพอเปิดวางจำหน่ายจริง ๆ จะสวยกว่าจินตนาการเหล่านี้ ราคาไม่แรงจนเกินไป และที่สำคัญที่สุด… กดซื้อทัน

“medicine”อีกหนึ่งหมุดหมายแห่งการเปลี่ยนแนว ของ Bring Me the Horizon

$
0
0

สำหรับเพลงที่ทำให้โลกโซเชียลของเหล่าชาวร็อกต้องลุกเป็นไฟในช่วงที่ผ่านมา น่าจะหนีไม่พ้น “medicine” ซิงเกิลที่สามจาก amo อัลบั้มเต็มลำดับที่หกของวงร็อกจากเกาะอังกฤษที่มหาชนรักนักรักหนาอย่าง Bring Me the Horizon เนื่องจากทำออกมาป๊อปเสียเหลือเกิน จนหลายคนเอาไปเทียบกับศิลปินสายหล่ออย่าง Justin Bieber กันเลยก็มี

แต่จากที่ไล่ฟังวนอยู่หลายรอบในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะว่า BMTH ทรยศวงการหรือไม่เคารพจุดยืนยังไงก็ตาม “ผมชอบนะครับ” — คือวงดนตรีหลายวงอาจจะชอบกับแนวทางที่ทำอยู่และไม่คิดจะเปลี่ยนไปหาแนวทางอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด (ไม่งั้น AC/DC คงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้) แต่ก็มีวงดนตรีหลายวงที่ต้องการแค่การทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ได้สนว่าจะเป็นแนวทางไหน ซึ่ง Bring Me the Horizon น่าจะจัดอยู่ในหมวดนี้มากกว่า

จากที่ฟัง “medicine” ดู แม้ซาวด์จะเป็นป๊อปร็อกที่ดูสดใส แต่เนื้อหาก็ถือว่ามีความขบถไม่แพ้งานชุดเก่า ๆ ของวงแต่อย่างใด และรู้สึกว่าการเขียนเนื้อเพลงทำออกมาได้ติดหูและมีการใช้คำ-วลีที่น่าสนใจหลายส่วนทีเดียว (จริงอยู่ที่ชุดก่อนหน้านี้เพลงช้า “Follow You” แต่เรามองว่าเป็นสูตรสำเร็จของวงร็อก-เมทัลตลาดที่จะมีเพลงช้าติดอัลบั้มซัก 1 เพลง แต่กับเพลงนี้เราแอบรู้สึกว่า นี่แหละคือทิศทางใหม่ที่จะมุ่งไป)

หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่บทความแปลเนื้อเพลง แค่หยิบยกเนื้อเพลงท่อนที่ชอบมาพูดถึงให้เห็นถึงการแต่งเนื้อเพลงที่ดี (ในสายตาเรา) เพราะฉะนั้น ใครคิดที่จะเปิดเพลงฟังแล้วอ่านตามไป อาจสะดุดได้ เพราะไม่ได้ยกมาทั้งหมด


Some people are a lot like clouds, you know
Cause life’s so much brighter when they go

ท่อนเปิดของเพลงนี้เริ่มด้วยการแซะว่าคนบางคนก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเมฆ ที่เมื่อพอคนเหล่านี้ผ่านพ้นไป ชีวิตของเราก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ที่แต่งออกมาแบบนี้ก็เพราะว่า คนในโลกตะวันตกเค้าชอบ ‘แดด’ มากกว่า ‘ร่ม’ ต่างจากคนไทย เพราะบ้านเค้าไม่ได้เจออากาศสดใส (จนเกือบไหม้) บ่อย ๆ เหมือนพวกเรา


You rained on my heart for far too long (Far too long)
Couldn’t see the thunder for the storm

“เธอทำให้ฝนตกในหัวใจฉันมานานเกินไป” ท่อนนี้ต้องพูดกันยาวเล็กน้อย — ท่อนนี้เป็นการใช้คำที่ฟังแล้วนึกถึงท่อนฮุกของเพลง “Doomed” จากอัลบั้มที่แล้ว (So come rain on my parade ’cause I wanna feel it.)

วลี ‘rain on someone’s parade’ เป็นการอุปมาอุปไมยให้ความสุขของคนเรามีสภาพเป็นเหมือนขบวนพาเหรดขบวนหนึ่ง และฝนที่ตกลงมาก็เป็นตัวแทนของความทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้เสียบรรยากาศแห่งความสุขไปนั่นเอง

ส่วนที่บอกว่า “Couldn’t see the thunder for the storm” ก็เป็นการพลิกแพลงมาจาก “Can’t see the forest for the trees” ที่เอาไว้พูดถึงพวกที่จับจดอยู่กับรายละเอียดเล็กน้อยของปัญหามากจนเกินไปจนมองไม่เห็นสถานการณ์โดยรวม เหมือนการมองเห็นแต่ต้นไม้ ไม่เห็นป่า หรือการเห็นแต่พายุ แต่ไม่เห็นสายฟ้าที่กำลังจะฟาดลงมา นั่นเอง


Because I cut my teeth and bit my tongue
Till my mouth was dripping blood
But I never dished the dirt, just held my breath
While you dragged me through the mud

ท่อนนี้เต็มไปด้วยลูกเล่นของภาษาที่ไม่ใช่การสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ‘cut my teeth’ คือการได้รับประสบการณ์บางอย่างมาก่อนที่จะได้ลองทำด้วยตัวเอง เช่นการรู้จักแหวนแต่งงานครั้งแรกจากภาพยนตร์ ในเพลง “Royals” ของ Lorde ไม่ได้ถูกขอแต่งงานเองแต่อย่างใด

ส่วน ‘bite my tongue’ หรือการกัดลิ้นหมายถึงการฝืนใจพูด/ไม่พูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจจนเลือดกบปาก ส่วนในครึ่งหลังของท่อนนี้ ‘dish the dirt’ คือการหยิบเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาพูด

หากให้ตีความด้วยเรื่องราวชีวิตของ Oliver Sykes นักร้องนำ ผนวกกับข้อมูลบนโลกออนไลน์ที่หาได้ เราคิดว่าท่อนนี้เป็นการพูดถึง Hannah Snowdon อดีตภรรยาของเจ้าตัวที่คบชู้จนต้องเลิกรากันไป และการปิดปากเงียบก็หมายถึงการไม่พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้และการหย่าร้างออกสื่อ


ในเพลงยังมีอะไรที่น่าสนใจให้พูดถึงอีกมาก แต่ถ้ามานั่งสาธยายคนเดียวทั้งหมดตรงนี้ก็ดูจะเป็นการคิดเองเออเองคนเดียวเกินไป เพราฉะนั้น (ด้วยความขี้เกียจ) ก็จะขอหยุดไว้ที่ท่อนต้นของเพลงแค่ตรงนี้ ที่เหลือไปฟังและทำความเข้าใจกันเอาเองครับ 😛

หากให้สรุปว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไร เดาเอาว่าน่าจะเป็นการพูดถึง Hannah Snowdon คนรักเก่าที่เลิกรากันไปเพราะฝ่ายหญิงคบชู้สู่ชาย — แต่ด้วยวิธีการเขียนเนื้อเพลงเชิงอุปมาอุปไมย และใช้ภาษาที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใครโดยตรง ก็ทำให้ผู้ฟังเพลงนี้สามารถนำประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองมาเชื่อมโยงกับเพลงได้แบบไม่ยากเกินไปนัก เชื่อว่าสำหรับแฟนเพลงยุคหลังแล้ว นี่คือหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ และกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ไม่เล่นไม่ได้ของวงนับจากนี้ไปอีกนานแน่นอน


อ้างอิง:


BREAKING NEWS: Arch Enemy ประกาศมาไทยมีนาคมนี้

$
0
0

มีรายงานจากเพจนิตยสาร Blast Magazine จากหน้าคอนเสิร์ต Slash featuring Live in Bangkok เป็นภาพป้ายประกาศที่ด้านหน้าคอนเสิร์ตว่า Arch Enemy วงเมโลดิกเดธเมทัลจากประเทศสวีเดน (ที่มีนักร้องนำเป็นชาวแคนาดา และมือกีตาร์หนึ่งคนเป็นชาวอเมริกัน) จะกลับมาเปิดการแสดงที่ประเทศไทยอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคมนี้

บัตรราคา 1,500 บาท ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่มีประกาศออกมา สามารถติดตามได้ที่เพจ PMG ของโปรโมเตอร์ผู้จัดงานนี้

* หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง *

ศึกใหม่ 2019: Gary Holts แห่ง Slayer ด่า Imagine Dragons ว่าเป็นวงห่วยแตก ไม่คู่ควรคำว่าร็อก

$
0
0

สำหรับการปะทะกันระหว่างดนตรีเมทัล กับวัฒนธรรมป๊อป หนึ่งในคนดนตรีที่ชูธงต่อต้านสิ่งเหล่านี้เสมอมาก็คือ Gary Holt อดีตมือกีตาร์วงแทรชเมทัล Exodus ที่ตอนนี้มาประจำการกับต้นตำรับขาโหดอย่าง Slayer ก็เป็นอีกคนที่ใครต่างพากันนึกถึงครับ ในอดีตเขาเคยทำให้เสื้อยืดลาย Kill the Kardashians กลายเป็นไวรัลมาแล้ว และล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาแสดงความเห็นว่าวง Imagine Dragons นั้นเป็นวงดนตรีที่ห่วยแตกที่สุดที่เคยได้ฟังมา

หลังจากที่ได้รับชมการแสดงสดของ Imagine Dragons ในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศอเมริกันฟุตบอลระดับวิทยาลัย (College Football Playoff National Championship) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ณ Treasure Island ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Gary ก็ออกมาโพสต์อินสตาแกรมว่า:

“ผมนั่งดูโชว์พักครึ่งฟุตบอลเพื่อที่จะดูว่ามันห่วยแตกแค่ไหนแค่นั้นแหละครับ ได้โปรด ขอเลยนะว่าอย่าเรียกไอ้วงกากวงนี้ว่า ‘วงร็อก’ อีกเลย ง่าย ๆ เลยนะ แม่งเป็นคำแก้ตัวที่ห่วยที่สุดของวงดนตรีที่ผมเคยได้ยินมาเลย แม่ง แม่งโคตรไม่ไหว ผมไม่ค่อยสนุกกับการด่านักดนตรีนักหรอกนะครับ แต่พวกแม่งจะเรียกตัวเองแบบนั้นก็ไม่ได้หรอก เพราะงั้น ช่างแม่งเหอะ”

ชมการแสดง:

นอกจากคำบรรยายในแคปชันของอินสตาแกรมแล้ว ภาพที่ Gary โพสต์ก็มีการแซะที่แรงไม่น้อย เป็นภาพของลิงสองตัวที่โหนขนตามนุษย์เล่น พร้อมก๊อปปี้ว่า “Imagine dragons suck giant harry balls” (จินตนาการว่ามังกรกำลังดูดไข่ลิงที่เต็มไปด้วยหมอยดูสิ)

หลังจากนั้นก็น่าจะเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์พอสมควร เพราะมีสำนักข่าวหลายแห่งนำไปรายงานต่อ ทั้ง Loudwire, AltPress, Tone Deaf, Ultimate-Guitar.Com, Metal Insider, Metal Addicts เป็นต้น ซึ่งก็ตามมาด้วยดราม่ามากมายทั้งบนเว็บไซต์เหล่านั้น และที่อินสตาแกรมของ Gary เอง จนทำให้ ณ เวลานี้โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทีนี้มาเข้าเรื่องกันที่ความ ‘ร็อก/ไม่ร็อก’ ของวง Imagine Dragons หากมองจากมุมมองของคนที่เติบโตมากับดนตรีเมทัลหนักกระโหลกทั้งชีวิตแบบ Gary Holt ที่เป็นสมาชิกของวงเมทัลระดับตำนานตั้งสองวง ดนตรีที่เบากว่าและซาวด์ที่ดูเป็นยุคใหม่กว่าของ ID ย่อมเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ร็อก’ สำหรับดาวเด่นแห่งวงการเพลงเมทัลอยู่แล้ว

แต่คำว่าร็อกหมายถึงความหนักเสมอไปหรือเปล่า?

ก็คงต้องตอบว่า ‘ไม่’

ในแง่ของการตลาด (และอาจเป็นแง่ของทฤษฏีดนตรีด้วย แต่ไม่ขอฟันธงเพราะผู้เขียนไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้) มันมีแนวดนตรีที่เรียกว่า ‘ป๊อปร็อก’ อยู่ ซึ่งนิยามของมันก็ไม่หนีไปจากชื่อเรียกแนวทางของมันมากนัก คือ ‘ดนตรีร็อกที่เป็นที่นิยม’ ซึ่งเมื่อเป็นแนวเพลงที่ตั้งอยู่บนฐานของความนิยมแล้ว ซาวด์ของมันก็ถูกพัฒนาและแปรเปลี่ยนไปตามการเวลา ต่างกับแนวเมทัลที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความหนักแน่นแข็งแรงแต่แรก ต่อให้มันแตกแขนงหรือพัฒนาไปไกลแค่ไหน แก่นของมันก็คือความหนักแน่นอยู่ดี — เมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว เราก็คงพอมองเห็นภาพกว้างขึ้นว่าความร็อกของ Gary Holt และความร็อกของโลกเมนสตรีมตั้งอยู่ในกรอบของมุมมองที่แตกต่างกัน

ซึ่งก็ทำให้พอสรุปได้ว่า Imagine Dragons มันก็เป็นวงร็อกจริง ๆ นั่นแหละ แค่เป็น ‘ร็อกอีกแบบหนึ่ง’ ที่คนชอบฟังเพลงหนัก ๆ อย่างเมทัลอาจรู้สึกว่าไม่ถูกจริต แต่หากคิดดี ๆ และถอยออกมามองให้กว้างขึ้นอีกซักนิด เราก็น่าจะพอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เราเชื่อหรือยึดถือมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด และยังมีโลกอีกหลายใบ ซีนเพลงอีกหลายซีนที่ไม่ใช่ที่ของเรา

นอกจาก Gary Holt แล้ว Anna Gaca จาก SPIN ก็เป็นอีกหนึ่งนักเขียนที่ออกมาเขียนบทความแสดงความเห็นว่า Imagine Dragons เป็นวงที่ห่วยแตกเช่นกัน หากใครพอมีเวลา ก็สามารถเข้าไปอ่าน (ฉบับภาษาอังกฤษ) กันได้ที่ Is Imagine Dragons the Worst Band Ever?


ความเห็นจากผู้เขียน: โดยส่วนตัวแล้ว เราฟังทั้งเพลงเมทัลและเพลงป๊อปควบคู่กันมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นตอนต้น และรู้สึกว่าดนตรีทั้งสองแบบมีข้อดีแตกต่างกันไป หนึ่งแนวได้ความมัน ได้ปลอดปล่อย อีกหนึ่งแนวได้ความเพลิน ฟังง่าย ไม่ซับซ้อน

สิ่งที่ทั้งสองแนวนี้มีจุดร่วมเหมือนกันคือสร้างขึ้นเพื่อความสุขของคนฟัง เพราะฉะนั้นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องป่วยการและเสียเวลามาก หากใครจะลุกขึ้นมาทะเลาะกันด้วยเรื่องของแนวเพลง — ยิ่งคนคนนั้นเป็นศิลปินรุ่นใหญ่ในวงดนตรีที่เรายกขึ้นแท่นบูชาด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าเหนื่อยใจครับผม

ขายไตแลก iPhone: ชายชาวจีนต้องกลายเป็นคนพิการ หลังยอมแลกอวัยวะกับอุปกรณ์ตัวจี๊ดแห่งยุคสมัย

$
0
0

ใครที่กำลังมีแนวโน้มที่จะ ‘ขายไต’ เพื่อหาเงินไปซื้อบัตรคอนเสิร์ต เรื่องนี้อาจทำให้คุณหยุดและไตร่ตรองให้ดีอีกครั้ง — ชาวจีนวัย 25 ปี นามว่า หวัง (Wang) จากมณฑลอานฮุย ต้องกลายเป็นคนพิการ หลังจากตัดสินใจ ‘ขายไตซื้อไอโฟน’ เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มน้อยวัย 17 ปี


จุดเริ่มต้น

เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น หวัง อยากได้อุปกรณ์สื่อสารที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งยุค ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือ iPhone 4 และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต iPad 2 มาครอบครอง แต่ผู้ปกครองไม่ได้มีฐานะดีพอที่จะซื้อให้ได้ และจากการท่องโลกออนไลน์และแชทผ่านแพลตฟอร์ม QQ ก็ทำให้เขาได้พบกับนายหน้าชาวจีนสามคน ที่ยื่นข้อเสนอเงินก้อนโตสำหรับสานฝันให้เป็นจริง แลกกับการที่เขาต้องเสียไตไปหนึ่งข้าง

ลงมือทำ

หวังออกเดินทางจากอานฮุย จังหวัดที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ไปยันมณฑลหูหนานในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2011 โดยไม่มีใครในครอบครัวทราบว่าเขาไปทำอะไร

การผ่าตัดเกิดขึ้นที่คลินิกนิรนามแห่งหนึ่งด้วยคนเพียง 4 คน คือหมอผ่าตัด 2 ผู้ช่วยหมอ 1 และพยาบาลอีก 1 ซึ่งหลังจากนำไตออกมาจากร่างกายของหวังและขายต่อในตลาดมืดเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 22,000 หยวน หรือราว 100,000 บาท ซึ่งถูกแปรสภาพเป็น iPhone 4 และ iPad 2 แบบเหลือเงินทอน ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังจังหวัดบ้านเกิด

ผลที่ตามมา

แม่ของหวังรู้สึกผิดสังเกตที่ลูกชายมีอุปกรณ์ไอทีใหม่ ๆ และเงินก้อนโตใช้ เมื่อหวังสารภาพว่าขายไตไปแล้ว เรื่องนี้จึงถึงหูตำรวจ

ในระหว่างที่คดีกำลังดำเนินไป สุขภาพของหวังก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว เริ่มด้วยภาวะไตวาย และจบที่การต้องกลายเป็นคนพิการอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนกลางและหมอผ่าตัดจะถูกจับกุมในปีถัดมา (2012) ในเมืองเฉินโจว มณฑลหูหนาน สถานที่ที่การผ่าตัดเกิดขึ้น

ครอบครัวของหวังได้รับเงินค่าทำขวัญตอบแทนเป็นจำนวน 1.4 ล้านหยวน (เกือบ 6.6 พันล้านบาท)

ปัจจุบัน

หวัง ในวัย 25 ปี จากเด็กหนุ่มร่างกายกำยำกับความสูง 190 เซนติเมตร ต้องออกจากโรงเรียน กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงและประทังชีวิตด้วยเงินประกันสังคม และมีชีวิตขึ้นอยู่กับการดูแลของพ่อแม่แต่เพียงอย่างเดียว ที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะไตวายและต้องล้างไตเป็นประจำทุกวันอีกด้วย


รู้แบบนี้แล้ว ใครที่คิดจะขายไตไปดูคอนเสิร์ต ก็เปิดมุมมองให้กว้างเข้าไว้และคิดใหม่กันอีกทีนะครับ ได้เงินมา ขาอาจจะไม่มีแรงลุกออกไปที่จัดงานก็ได้! ออกไปทำมาหาแดก เอ๊ย หากิน เป็นวิธีเติมเงินสำหรับบัตรคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดแล้วครับ!

[ ที่มา – Daily Mail Online ]

Jinjer วงเมทัลคอร์ผู้หญิงร้องนำจากยูเครน ปล่อย MV รับอีพีใหม่ “Perennial”

$
0
0

Jinjer วงเมทัลคอร์จากประเทศยูเครนเพิ่งมีงานอีพีชุดใหม่ชื่อว่า Micro ออกมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการกับค่าย Napalm Records เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ทางวงเปิดตัวมิวสิกวิดีโอเพลง “Perennial” ซิงเกิลลำดับที่สามจากงานอีพีชุดดังกล่าวออกมาให้ชาวเน็ตผู้ชอบเพลงหนักได้ชมและฟังกันอีกเพลง

จะบอกว่าเป็นสูตรสำเร็จของวงเมทัลคอร์ก็ว่าได้ กับการวางโครงสร้างเพลงสลับกันระหว่างท่อนที่ดนตรีหนักแน่นและการสำรอก กับท่อนร้องคลีนที่เน้นความติดหู แต่ถึงจะเป็นสูตรสำเร็จที่แนวนี้ทำกันมาทั้งโลก “Perennial” ของ Jinjer ก็ถือว่าเรียบเรียงออกมาติดหูดีมาก ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้เสียงร้องของ Tatiana Shmailyuk นักร้องนำสาวของวงที่ร้องได้ทรงพลังมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ต้องใส่เต็มแบบบ้าพลัง หรือเน้นความแข็งแรงของเนื้อเสียงในท่อนคลีน

ด้านมิวสิกวิดีโอ เพลงนี้พาเราย้อนศตวรรษกลับไปดูเรื่องราวลึกลับของตัวละครหญิงคนหนึ่ง ซึ่งแสดงโดย Tatiana นักร้องนำเอง ในลุคแบบไร้เมคอัพ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเปลี่ยนแปลงไปได้น่ารักดี และแอบคิดว่าถ้าเปลี่ยนลุคมาทางนี้น่าจะประสบความสำเร็จด้านการตลาดได้มากกว่า (แต่ถ้าทำแล้วไม่เป็นตัวเองก็ไม่แนะนำเท่าไหร่)

ก่อนหน้านี้ Jinjer เคยออกทัวร์ในฐานะวงเปิดให้กับราชินีขาโหดแห่งวงการเพลงเมทัล Arch Enemy มาแล้ว ซึ่งก็ทำให้กอบโกยชื่อเสียงขึ้นมาใหม่ได้อีกมาก ในช่วงห้าเดือนแรกของปี ค.ศ. 2019 ทางวงจะออกทัวร์รอบโลกกัน โดยเริ่มจากประเทศในแถบยุโรปก่อน ตามมาด้วยญี่ปุ่นในเดือนเมษายน และแอฟริกาใต้ในเดือนพฤษภาคม ตารางถือว่าไม่แน่นเกินไปหากจะแวะเวียนมาเล่นในประเทศไทยให้ได้ดูกัน

ใครกำลังมองหาตัวเลือกอื่น ๆ มาแทนวงเมทัลผู้หญิงร้องนำที่น่าจะฟังกันจนเอียนแล้วอย่าง Arch Enemy ที่กำลังจะมาไทย Jinjer ก็น่าจะเป็นอีกตัวเลือกสำหรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีครับ (FYI: แต่คนละแนวกันนะ!) — ใครชอบและอยากตามวงต่อก็ไปกดไลค์เพจวงกันต่อได้ที่ facebook.com/JinjerOfficial

ร็อกไหนดี? สรุปอีเวนต์ดนตรีมัน ๆ ที่น่าไปในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562

$
0
0

ต้นปี พ.ศ. 2562 อาจไม่ได้มีงานดนตรีสายร็อกให้ไปร่วมมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี (ซึงนั่นแปลว่า ดนตรีร็อกยังไม่ตาย)

นอกจากคอนเสิร์ต Slash featuring Myles Kennedy and The Conspirators ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมนี้ก็มีงานร็อก-เมทัลดี ๆ ให้ร่วมงานกันประปรายครับ

Slam Domination 2019

อีเวนต์รวมตัวคอเพลงสุดเถื่อนสายสแลมมิ่ง (slamming) งานเดียว 7 วง 4 สัญญาติ เฮดไลน์ของงานนี้คือ Within Destruction วงเดธคอร์สายสแลมมิ่งรุ่นใหม่จากประเทศสโลเวเนีย ร่วมด้วย Traumatomy วงบรูทัลเดธเมทัลจาประเทศรัสเซีย และ Gore Infamous จากประเทศอินโดนีเซีย พร้อมวงไทยร่วมกระทำการเปิดค่ำคืนแห่งความโหดอีกสี่วง คือ Ecchymosis, Imbrued Blemishment, Pathological Sadism และ Affective Psychosis

Pop Punk คับเวอร์

  • Date: เสาร์ 26 มกราคม
  • Time: 19:00 เป็นต้นไป
  • Venue: NOMA BKK, RCA
  • Ticket: 250 บาท (early-bird), 350 บาท (show-date)
  • Event Page: facebook.com/events/744299922616663

ปาร์ตี้ที่เว็บไซต์ Headbangkok ของพวกเรา จับมือกับ Old School Party ออแกไนเซอร์สายร็อกผู้ชื่นชอบปาร์ตี้จัดขึ้น รวบรวมเอาวงดนตรีสัญชาติไทยเจ๋ง ๆ มาบรรเลงเพลงคัฟเวอร์มัน ๆ ทั้ง Jimmy Revolt, The Story of Stoners, The 90s, Handy Marathon, Joeharry Bangkoker, Pretty Punks เรียกว่าจะรักป๊อปพังก์ยุคเก่าอย่าง blink-182 หรือวงรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง State Champs งานนี้เราก็มีให้ฟังกัน มาเถอะครับ อยากเจอ

Oasis Tribue #3

  • Date: อาทิตย์ 10 กุมภาพันธ์
  • Time: 19:00 เป็นต้นไป
  • Venue: Play Yard by Studio Bar (ลาดพร้าวซอย 8)
  • Ticket: 250 บาท (+ 1 free drink)
  • Event Page: facebook.com/events/301574570687663

อีเวนต์รวมพลคนรักสองพี่น้องตระกูล Gallagher ทั้ง Liam & Noel ที่จะได้ชมการแสดงจากวงดนตรีเจ๋ง ๆ ทั้ง Bobabis, Pretty Punks, Morning Chemistry, Penny Lane และ Oasis FC ที่ดูชื่อก็รู้เลยว่าต้องมาเล่นเพลงของวง Oasis กันแน่นอน แต่ในงานนี้จะมีทั้งการเล่นเพลงจากวงอื่น ๆ ในยุคหลัง Oasis ทั้ง Noel Gallagher’s High Flying Bird, Beady Eye รวมถึงเพลงจากโซโลโปรเจ็กต์จอง Liam Gallagher และกิจกรรมจากเหล่าสาวก RKID มากมาย

Plini Live in Bangkok

  • Date: จันทร์ 4 มีนาคม
  • Time: 20:00 – 22:00 น.
  • Venue: De Commune อาคาร Liberty Plaza (ทองหล่อ)
  • Ticket: 1,200 บาท (early-bird), 1,500 บาท (regular), 1,800 บาท (+ Masterclass guitar clinic)
  • Event Page: facebook.com/events/234922747419062

ชื่อของ Plini Roessler-Holgate มือกีตาร์หนุ่มวัย 26 ปีอาจไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ถ้าใครชอบฟังดนตรีโปรเกรสซีฟเมทัลลูกผสมระหว่างดนตรีร็อกกับฟิวชัน แต่ความแตกต่างในผลงานของ Plini คือ เพลงของเจ้าตัวจะเน้นไปที่ ‘ภาพรวม’ และการทำให้ฟังง่าย มากกว่าการทำเพลงเพื่อโชว์ฝีมือกีตาร์อันเร่าร้อนแบบพวกกีตาร์ฮีโรยุคก่อนหน้า โชว์นี้เป็นทัวร์โปรโมตอีพีชุดใหม่ Sunhead ที่เพิ่งออกในปีที่แล้ว ถ้าเล่นกีตาร์ ต่อให้ไม่รู้จักก็แนะนำให้ไปหาไอเดียและความรู้ทางดนตรีเพิ่มเติมครับ!

Watain Live in Bangkok

  • Date: เสาร์ 9 มีนาคม
  • Time: 18:00 น. (ประตูเปิด)
  • Location: Hollywood Awards, รัชดาฯ ซอย 4
  • Ticket: 1,700 บาท (early-bird), 2,000 บาท (show-date), 2,500 บาท (die-hard set)
  • Event Page: facebook.com/events/2253822521502322

ถ้าเป็นเรื่องของดนตรีแบล็กเมทัล มั่นใจได้เลยว่าวงดนตรีจากประเทศแถบสแกนดิเนเวียจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง และในช่วงต้นปีนี้ คุณจะได้พบกับ Watain หนึ่งในขาใหญ่ของวงการดนตรีอันดำมืดจากประเทศสวีเดนที่อยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 1998 — แฟนเพลงของ Watain ในประเทศไทยอาจมีน้อยเมื่อเทียบกับวงเมทัลแขนงอื่น ๆ แต่เราขอแนะนำว่าถ้าคุณชอบเพลงโหด นี่คืออีกโชว์ที่ควรดูของแท้ให้เห็นกับตาซักครั้งในชีวิต แม้จะไม่ได้รู้จักลึกนักก็ตามครับ

Emmure Live in Bangkok

คนฟังเพลงเมทัลคอร์น่าจะคุ้นเคยกับท่อน “I see the fire in the sky!” จากเพลง “Solar Flare Homicide” ของวง Emmure วงนี้กันดีอยู่แล้ว หลังจากที่มาเยือนกรุงเทพฯ ไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทางวงจะกลับมาซ้ำแล้ว Franki Palmeri ฟรอนต์แมนเจ้าปัญหายังคงอยู่เป็นสมาชิกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไลน์อัพที่เหลือเปลี่ยนหน้าไปหมดแล้วเพราะลาออกยกวงไปเมื่อปี 2016 งานนี้จัดสถานที่เล็ก ได้ใกล้ชิดวงแบบเน้น ๆ แน่นอน

Arch Enemy Live in Bangkok

  • Date: เสาร์ 30 มีนาคม
  • Ticket: 1,500 บาท

งานนี้ยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มีการตั้งป้ายที่หน้าคอนเสิร์ต Slash featuring Myles Kennedy and the Conspirators เมื่อสัปดาห์ก่อน ต้องรอดูว่าจะแสดงที่ไหน แต่ด้วยราคาบัตร 1,500 บาท ก็ถือว่าเป็นอีกงานที่คุ้มและไม่ควรพลาดมาก ๆ ครับ


จากรายการทั้งหมดที่ลิสต์มา จะเห็นได้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ยังว่างอยู่อีกหลายสัปดาห์ ซึ่งก็ดีแล้วครับ เก็บเงินสำหรับงานต่อไปในอนาคตบ้างเถอะ จะอดตายแล้ว!

ยังไม่จบ! Robbie Williams เปิดเพลงวงคู่แข่ง Led Zeppelin ใส่ข้างบ้านทุกครั้งที่เห็น Jimmy Page ปรากฎตัว

$
0
0

เข้าตำราขิงก็รา ข่าก็แรง สำหรับการปะทะกันระหว่างนักร้องป๊อปชื่อดัง Robbie Williams กับ Jimmy Page สุดยอดมือกีตาร์รุ่นใหญ่แห่งคณะ Led Zeppelin

ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต้องส่งเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเนื่องจาก Jimmy Page ผู้อาศัยอยู่บ้านติดกับ Robbie ไม่ยอมให้เขาก่อสร้างสระว่ายน้ำที่บ้านตัวเองในชั้นใต้ดิน เนื่องจากจะมีเสียงรบกวนและอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง Tower House บ้านหลังเก่าแก่ของโคตรมือกีตาร์ผู้นี้ที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 1972 (แต่ท้ายที่สุด เมื่อเดือนที่ผ่านมาทางสภาเมืองก็อนุมัติให้สร้าง โดยจะต้องเฝ้าระวังเรื่องเสียงและผลกระทบกับตัวบ้านเอาไว้)

มีรายงานจากสำนักข่าว Telegraph ออกมาว่าล่าสุดเพื่อนบ้านของ Jimmy และ Robbie เขียนจดหมายแจงไปยัง Kensington and Chelsea Counsil Planning Committee ให้ทางคณะกรรมการของสภาเมืองได้ทราบว่า Robbie Williams ตั้งลำโพงยักษ์นอกบ้าน และเปิดเพลงของวงร็อกวงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Led Zeppelin เช่น Black Sabbath, Pink Floyd, Deep Purple ใส่บ้าน Jimmy Page เพื่อปั่นประสาทร็อกสตาร์เจ้าของบ้านหลังติดกันในทุก ๆ ครั้งที่มองไปที่ข้างบ้านแล้วเห็น Jimmy

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลออกมาด้วยว่า Robbie แต่งกายเป็น Robert Plant ฟรอนต์แมนวง Led Zeppelin เพื่อกวนประสาทร็อกสตาร์บ้านใกล้เรือนเคียง แต่ยังไม่มีรายงานการโต้กลับจากยอดตำนานมือกีตาร์ผู้นี้ออกมาให้เราได้ทราบกัน

Telegraph ระบุไว้ในช่วงท้ายของรายงานว่า ฝ่ายผู้รับเหมาก่อสร้างของ Robbie Williams เคยถูกร้องเรียนเรื่องเรียงรบกวนจาก Jimmy Page มาแล้วหนึ่งครั้งในปี 2017 จนทำให้ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินสูงถึง 4,670 ปอนด์ หรือเกือบ ๆ สองแสนบาทไท

ความเห็นจากผู้เขียน: เล่นมันเลยครับลุง ๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าให้เสียชื่อชาวร็อกแบบเรา ๆ ฆ่าได้หยามไม่ได้ครับ!

[ ที่มา – Ultimate Classic Rock, The Telegraph ]

เกร็ดน่าสนใจเกี่ยวกับ “Cross Off”เพลงที่ Chester Bennigton ร่วมทำกับ Mark Morton ไว้ก่อนเสียชีวิต

$
0
0

จนถึงตอนนี้สาวกเพลงเมทัล โดยเฉพาะแฟนคลับเดนตายของ Linkin Park และ Lamb of God น่าจะได้ฟัง “Cross Off” เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของ Mark Morton มือกีตาร์วง LoG ที่ได้ Chester Bennington ฟรอนต์แมนวง Linkin Park ผู้ล่วงลับได้ร่วมทำทิ้งท้ายไว้กันหมดแล้ว

แต่นอกจากความ Chester x Mark แล้ว เพลงนี้ยังมีเรื่องราวน่าสนใจอีกหลายข้อ วันนี้จะพาไปเรียนรู้เกี่ยวกับเพลงนี้ให้มากขึ้นกันแบบคร่าว ๆ เท่าที่เวลาและอินเทอร์เน็ตจะนำพาข้อมูลมาให้ครับ


Mike Shinoda เอ่ยปากชม

เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา Mike Shinoda เพื่อนซี้และสมาชิกร่วมวง Linkin Park ได้ออกมาโควตทวีตของ Mark Morton พร้อมเอ่ยปากชมว่า:

“ผมจำตอนที่ Chester เปิดเพลงนี้ในรถเขาให้ผมฟังได้ เป็นเวอร์ชันที่เกือบเสร็จแล้ว เขามีความสุขกับมันมาก ๆ เยี่ยมไปเลยครับ Mark

Trivium ร่วมทำเพลงนี้ด้วย

นอกจาก Chester Bennington จะมารับหน้าที่เป็นนักร้องนำในเพลงนี้แล้ว ในฝั่งนักดนตรีที่มาร่วมอัดเบสและกลองก็ถือว่าคุณภาพระดับเวิลด์คลาสไม่แพ้กัน เพราะเขาคือ Paolo Gregoletto มือเบส และ Alex Bent มือกลองคนใหม่ล่าสุดของวงเมทัลกลางเก่ากลางใหม่ ว่าที่รุ่นใหญ่ของยุคถัดไปอย่าง Trivium นั่นเอง

ทีแรกจะเป็นเพลงของ Jamey Jasta วง Hatebreed

ข้อมูลจาก Linkinpedia ระบุไว้ว่า ในรายการ The Jasta Show ตอนที่ 316 นักร้องนำตัวแรงแห่งวง Hatebreed พูดออกรายการเอาไว้ว่าที่จริงแล้วในตอนแรกเริ่ม Mark แต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อให้เขาเป็นคนร้อง แต่เขาใช้เวลาทำงานกับเพลงดังกล่าวนานเกินไปมาก สุดท้ายแล้วเพลงก็ถูกส่งต่อไปให้กับ Chester แทน และเจ้าตัวก็ยอมรับตามตรงว่าเวอร์ชันที่ Chester ทำออกมานั้นดีกว่าตัวเองมาก ๆ

เป็นแทร็กเปิดอัลบั้ม Anesthetic

แม้จะถูกเปิดตัวออกมาเป็นซิงเกิลลำดับที่สองถัดจาก “The Truth is Dead” feat. Randy Blythe & Alissa White-Gluz แต่ “Cross Off” ถูกวางไว้ให้เป็นเพลงลำดับแรกของอัลบั้ม (ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนก็คือ เป็นการเปิดอัลบั้มที่เดือดมาก ๆ) กลับกันซิงเกิลก่อนหน้าก็ถูกหยิบไปวางไว้เป็นแทร็กปิดอัลบั้มแทน

เพลงนี้ ‘เคยหลุด’

ตามกำหนดการที่วางไว้ “Cross Off” จะเปิดตัวในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2019 แต่เกือบหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ในช่วงราวกลางเดือนธันวาคมปี 2018 ก็เป็นทางฝั่ง Apple Music ที่ ‘มือลั่น’ ดันเพลงนี้ขึ้นมาออนไลน์ในชาวดลกได้ฟังกันล่วงหน้า แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็ถูกเก็บเรียบก่อนที่จะมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการตามกำหนดการเดิม

โปรดิวเซอร์คนเดียวกับที่ทำให้ Lamb of God

นอกจาก Mark Morton และ Chester Bennington อีกหนึ่งบุคลากรที่มีส่วนสำคัญในผลงานเพลงนี้ก็คือ Josh Wilbur โปรดิวเซอร์ชาวอเมริกันผู้ซึ่งทำผลงานร่วมกับวง Lamb of God มาหลายต่อหลายชุด เช่น Wrath, Resolution, The Duke รวมถึงเคยทำงานโปรดิวซ์กับ Trivium มาด้วย ก็ถือว่าเข้าขากันดีตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ทันเริ่มบันทึกเสียงเพลงกันเลยด้วยซ้ำ (แถมเคยทำงานกับ Hatebreed ด้วย วนกันไปวนกันมา หน้าเดิม ๆ)


อัลบั้ม Anesthetic จะวางจำหน่ายในวันที่ 1 มีนาคมนี้ กับค่าย Spinefarm Records นอกจากร็อกสตาร์ผู้ล่วงลับแล้ว ในอัลบั้มนี้ยังมีแขกรับเชิญอีกเพียบ เช่น Jacoby Shaddix (Papa Roach), Myles Kennedy (Alter Bridge), Josh Todd (Buckchery) สามารถดูรายชื่อเพลงและแขกรับเชิญทั้งหมดได้จากแทร็กลิสต์ด้านล่าง

Anesthetic‘s Track List:

“Cross Off” (feat. Chester Bennington)

“Sworn Apart” (feat. Jacoby Shaddix)

“Axis” (feat. Mark Lanegan)

“The Never” (feat. Chuck Billy + Jake Oni)

“Save Defiance” (feat. Myles Kennedy)

“Blur” (feat. Mark Morales)

“Back From The Dead” (feat. Josh Todd)

“Reveal” (feat. Naeemah Maddox)

“Imaginary Days”

“Truth Is Dead” (feat. Randy Blythe + Alissa White-Gluz)


ย้อนวันวาน: 9 อัลบั้มที่จะทำให้คุณนึกถึงยุคป๊อปพังก์ครองเมือง

$
0
0

ในช่วงต้นจนถึงกลางยุค ‘2000s นอกจากกระแสดนตรีนูเมทัลจะเปรี้ยงปร้างแล้ว กระแสดนตรีป๊อปพังก์เองก็ได้รับความนิยมชมชอบไม่แพ้กัน เป็นช่วงสุกงอมของการบ่มเพาะของดนตรีแขนงนี้จนทำให้มีผลงานผุดเข้ามาในแวดวงกระแสหลักมากมาย รวมถึงแฟชั่นไม่ว่าจะเป็น Dickies, Ben Davis, Famous, Atticus และอีกมากมายหลายแบรนด์ ที่ได้รับความนิยมเป็นผลพลอยได้ไปตาม ๆ กัน วันนี้เรามาย้อนเวลาถึงช่วงเวลาป๊อปพังก์ครองเมือง กับ 9 อัลบั้มที่จะทำให้ทุกคนนึกถึงวันเวลาแห่งวัยเกรียนกันฺในช่วงยุค 2000s กันซักหน่อย


Take Off Your Pants and Jacket (2001) – blink-182

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับเพลง “All the Small Things” ในอัลบั้ม Enema of The State กับดนตรีป๊อปพังก์ที่ฟังง่าย สบายหู ใช้คำไม่ต้องเยอะ จนกลายเป็นสูตรสำเร็จของแพทเทิร์นป๊อปพังก์ในเวลาต่อมา blink-182 ก็นำความสำเร็จมาต่อยอดจนคลอดออกมาเป็นอัลบั้ม Take Off Your Pants and Jacket และผลงานชิ้นนี้ยังคงได้ Jerry Finn โปรดิวเซอร์มือฉมังสายพังก์ ที่เคยฝากผลงานไว้กับวง Rancid, Green Day, Alkaline Trio มารับหน้าที่ช่วยปลุกปั้นเช่นเคย อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “First Date”, “The Rock Show” และ “Stay Together for the Kids” แต่ที่จริงแล้วทุกเพลงในอัลบั้มนี้สามารถตัดออกมาเป็นซิงเกิลได้หมดอย่างไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ภาคดนตรีโดยรวมมีความเติบโตขึ้นจากอัลบั้ม Enema of the State แต่ยังคงคอนเซปต์ความเป็นวัยรุ่น ความเกรียน และความสนุกไว้ตลอดทั้งอัลบั้ม ผ่านทีมเวิร์กของสามสมาชิก Mark Hoppus, Tom DeLonge และ Travis Barker ด้วยสเน่ห์อันน่าหลงใหลทำให้อัลบั้มนี้เปิดตัวบนชาร์ตบิลบอร์ดในอันดับที่ 1 คว้ารางวัลแพลตตินั่มไปถึง 2 ครั้ง และจำหน่ายได้ถึง 14 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก


All Killer No Filter (2001) – Sum 41

โด่งดังตั้งแต่ปล่อยผลงานชุดแรก สำหรับวง Sum41 ป๊อปพังก์สายยียวนกวนประสาท จากแคนาดา ดนตรีของ Sum 41 มีความแตกต่างจากวงทั่วไป ๆ โดยเฉพาะในส่วนของไลน์กีตาร์ที่โดดเด่น เช่นในเพลง “In Too Deep” รวมถึงการร้องที่แอบอิงกระแสด้วยการเลือกการร้องแร็ปเข้ามาผสมอยู่ในเพลง “Fat Lip” หรือจะเป็นเพลงสับ ๆ สไตล์สเก็ตพังก์อย่าง “Never Wake Up” หรือเฮฟวี่เมทัลแบบ Iron Maiden ก็มีให้เสพในเพลง “Pain for Pleasure” แต่ภาพรวมของทั้งอัลบั้มเน้นไปที่จังหวะชวนโดดในโหมดป๊อปพังก์เป็นหลัก อัลบั้มนี้เคยไต่บิลบอร์ดชาร์ตได้สูงสุดในอันดับที่ 13 อีกด้วย


Bleed American (2001) – Jimmy Eat World

แม้ Jimmy Eat World จะเริ่มมีอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 1994 แต่กว่าที่วงจะสร้างชื่อเสียงโด่งดังก็ต้องใช้เวลาจนถึงอัลบั้มที่ 4 เลยทีเดียว อัลบั้มนี้มีความลงตัวในทุก ๆ ด้าน การจับการเดินคอร์ดกีตาร์ในรูปแบบป๊อปพังก์ผสมผสานกับเมโลดี้สวย ๆ ของอีโม ทำให้ดนตรีของ JEW ฟังได้ลื่นหูและไหลลื่น โดยเฉพาะซิงเกิลดังอย่าง “The Middle” ที่กลายเป็นเพลงสร้างชื่อให้กับวงอย่างแท้จริง และเพลงช้า ๆ ซึ้ง ๆ อย่าง “Hear You Me” ยังถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนต์เรื่อง Butterfly Effect ที่นำแสดงโดย Ashton Kutcher อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วอัลบั้มนี้ยังถูกยกให้เป็น 1 ใน 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมของนิตยสาร NME สุดจัดจริง ๆ


No Pads, No Helmets…Just Balls (2002) – Simple Plan

แค่ชื่ออัลบั้มก็เรียกเสียงฮาจากผู้พบเห็นได้แล้ว นอกจากความหมายแล้วชื่อก็ยังชวนให้แอบนึกถึงชื่ออัลบั้ม Take Off Your Pants and Jacket ของ blink-182 ได้ด้วยเช่นกัน ดนตรีอัลบั้มนี้เป็นซาวด์ป๊อปพังก์พิมพ์นิยมตามสมัย เมโลดี้มีกลิ่นอายของอีโมมาเพิ่มความน่าฟังให้กับเพลง ส่วนความพิเศษอยู่ที่เพลงดังอย่าง “I’d Do Anything” ที่ได้ Mark Hoppus แห่ง blink-182 มาร่วมแจม และ Joel Madden จาก Good Charlotte ที่โผล่มาแจมในเพลง “You Don’t Mean Anything” อัลบั้มนี้ถือเป็นก้าวแรกของวงในวงการดนตรีก่อนที่ Simple Plan จะประสบความสำเร็จและอยู่มายืดยาวจนปัจจุบัน


The Young and the Hopeless (2002) – Good Charlotte

วงดนตรีป๊อปพังก์ที่มีฝาแฝดตระกูล Madden อย่าง Benji และ Joel เป็นแกนนำของวง Good Charlotte ถือว่าเป็นวงที่โดดเด่นด้านการแต่งตัวมากในอัลบั้มแรก เพราะมากับคอสตูมสไตล์พังก์แบบเต็มสูบ เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็ม แต่พอมาในอัลบั้มนี้ทางวงก็ลดความจัดจ้านลงไป เช่นเดียวกับดนตรีในอัลบั้มนี้ที่ทำออกมาเจาะตลาดวงกว้างมากขึ้น มีความเป็นป๊อปสูงมาก ส่งผลในมีซิงเกิ้ลฮิตติดชาร์ตมากมาย เช่น “The Anthem”, “Lifestyles of The Rich & Famous” และ “Girls & Boys” แม้อัลบั้มนี้จะโดนวิจารณ์ว่าความเป็นพังก์มันเหลือน้อยมาก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายของพวกเค้าตกฮวบ เพราะอัลบั้มนี้คว้าไปถึง 3 แพลตตินัม จำหน่ายเฉพาะได้อเมริกาได้ถึง 3,500,000 ชุด พีกจริงอะไรจริง


Sticks and Stones (2002) – New Found Glory

จะบอกว่า New Found Glory เป็นม้ามืดที่ทะยานท้ากระแสป๊อปพังก์ก็คงไม่ผิดมากนัก เพราะอัลบั้มนี้คืออัลบั้มแจ้งเกิดในวงการดนตรีอย่างเต็มตัวของ New Found Glory หลังจากบ่มเพาะประสบการณ์อยู่ถึง 2 อัลบั้ม ด้วยเอกลักษณ์ทางดนตรีที่แตกต่าง ณ เวลานั้น ทำให้เป็นแรงผลักดันชั้นดี จนเข้าไปครองใจสาวกป๊อปพังก์ทั่วโลก สามารถไต่บิลบอร์ดชาร์ตขึ้นไปในอันดับที่ 4 ได้ และเพลงอย่าง “My Friends Over You” ก็ได้กลายเป็นเพลงชาติของวงมาจนปัจจุบัน แถมชื่อเพลง “The Story So Far” ในอัลบั้มนี้ยังได้กลายเป็นชื่อวงดนตรีป๊อปพังก์รุ่นหลังอีกด้วย


Ocean Avenue (2003) – Yellowcard

ทำไมเสียงของไวโอลินจะเข้ามาอยู่ในเพลงป๊อปพังก์ไม่ได้ เพราะวง Yellowcard ได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกรู้แล้วว่ามันเข้ากันได้ยิ่งกว่าอะไรดี และทุกคนต่างนิยมชมชอบซาวด์ในอัลบั้ม Ocean Avenue จนทำให้วงสามารถทำยอดขายไปทั่วอเมริกาได้ถึง 1.8 ล้านก๊อปปี้ มีซิงเกิลดังที่ทุกคนรู้จักกันดีเช่น “Way Away”, “Only One” และไตเติลแทร็ก “Ocean Avenue” น่าเสียดายที่ปัจจุบันวงได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ในอนาคตอาจจะได้เห็นการกลับมาของอีกครั้งก็เป็นได้


American Idiot (2004) – Green Day

ก่อนที่ทางวงจะคลอดอัลบั้มนี้ออกมา บารมีที่เคยสร้างไว้กับอัลบั้ม Dookie กำลังโรยราลงไป แต่ในที่สุดอัลบั้ม American Idiot ก็กลับมาชุบชีวิตให้กับ Green Day และได้กลายเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีซที่ยากจะลืมเลือนของวง ดนตรีของอัลบั้มนี้มีการเรียบเรียงที่ค่อนข้างน่าสนใจผ่าน คอนเซปต์อัลบั้มที่จิกกัดประเทศตัวเองได้อย่างเจ็บแสบ บางเพลงมีความยาวถึง 9 นาที “Jesus of Suburbia” / “Homecoming” อีกทั้งยังมีอีกหลายซิงเกิลฮิตทั้ง “American Idiot”, “Wake Me Up When September Ends” และ “Boulevard of Broken Dreams” ด้วยความสุดยอดของอัลบั้มนี้ส่งผลให้สามารถทำยอดขายทั่วโลกไดถึง 16 ล้านก๊อปปี้ และขี้นชาร์ตอันดับ 1 มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลกเช่นกัน


From Under the Cork Tree (2005) – Fall Out Boy

ปิดท้ายกันด้วยวงอดีตเคยป๊อปพังก์อย่าง Fall Out Boy ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นวงทำเพลงตามกระแสดนตรีอย่างทุกวันนี้ FoB ก็เคยผลงานจัดจ้านในย่านป๊อปพังก์มาแล้ว ผลงานในอัลบั้มนี้ถือเป็นจุดกำเนิดความสำเร็จในวงการดนตรีของวงเลยก็ว่าได้ มีเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง “Dance, Dance” และ “Sugar, We’re Goin’ Down” ดนตรีในอัลบั้มนี้มีความเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมจากอัลบั้มแรก มีการเรียบเรียงดนตรีที่เข้าถึงง่ายแต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของวงในตอนนั้น ก็ยังหวังลึก ๆ ว่าเราจะได้ฟัง Fall Out Boy ในแบบป๊อปพังก์กันอีกครั้ง


9 อัลบั้มนี้พอจะทำให้คุณนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสนุกกับบทเพลงป๊อปพังก์ได้หรือเปล่าครับ? ถ้ายังไม่หายอยาก มาพบกันที่งาน “POP PUNK คับเวอร์!” ปาร์ตี้มันส์ ๆ ที่ชาวป๊อปพังก์เล่นคัฟเวอร์เพลงของวงสุดโปรด ชวนให้เราอยากโดดและออกวิ่งทุกครั้งที่ได้ฟัง

พบกับ:
The Story of Stoners กับโชว์การเล่นเพลงของ blink-182 แบบครบเครื่อง
Jimmy Revolt ที่ขนเพลงดังจาก Green Day + The Offspring มาแบบเต็มกำลัง
Pretty Punks กับความสนุกของคนรุ่นใหม่ในเพลงของ State Champs
Joeharry Bangkoker และโชว์การคัฟเวอร์หาดูยากของ Jimmy Eat World + Against Me!
Handy Marathon กับความสนุกจัดเต็มด้วยเพลงของ Neck Deep
• และ THE90s กับเซ็ตเพลง Mayday Parade ที่ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน!

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2019 ณ NOMA, RCA ตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป บัตร early-bird ราคา 250.- (จนถึง 25 ม.ค.) และหน้างาน 350.-

ซื้อบัตร ทักแชท คลิกที่นี่ได้เลย! ➤ https://buff.ly/2S0bdkp

ร็อกสู่กันฟัง: Slash Live in Bangkok ครั้งที่ 2 – การก้าวต่อของร็อกไอคอน แบบไม่ย้อนไปโหนเพลงดังในวันวาน

$
0
0

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ณ GMM Live House ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ – Slash มือกีตาร์ผมฟูผู้เป็นหนึ่งในไอคอนของแนวดนตรีฮาร์ดร็อกยุค ‘80s กลับมาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เคยมาเดี่ยวไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อปี ค.ศ. 2010 และเพิ่งมากับวง Guns N’ Roses ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน

หลายคนออกตัวทันทีว่ายังไงก็ต้องไม่พลาดงานนี้ แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ตัดสินใจไม่ไป เพราะ 1. เคยดูโซโล่โปรเจ็กต์นี้ไปแล้ว 2. เพิ่งดู Guns N’ Roses มา และ 3. ไม่มีเงิน (สม)

สำหรับมนุษย์ในข้อแรก หากคุณเป็นแฟนเพลง Guns N’ Roses เราก็ต้องบอกตามตรงว่าคุณไม่ได้พลาดอะไรไปมากนัก แต่ถ้าเป็นสาวกของ Slash แบบเน้น ๆ ก็ถือว่าพลาดอะไรต่อมิอะไรไปเยอะทีเดียวครับ


เซ็ตลิสต์แบบโคตร Slash!

ในการมาครั้งแรก Slash เพิ่งมีแค่อัลบั้มเดียว โชว์จึงเป็นกึ่ง ๆ ระหว่างโชว์เคสผลงานใหม่ กับการเล่นเพลงของ GN’R เอาใจแฟนเพลงหน้าเก่า แต่กับโชว์นี้เซ็ตลิสต์มีเพลงของ Guns N’ Roses แค่เพลงเดียว คือ “Nighttrain” ส่วน Velvet Revolver ก็เสนอหน้ามาในเซ็ตลิสต์แค่เพลงเดียวคือ “Fall to Pieces” ที่เหลือเป็นงานจากทั้งสี่อัลบั้มของเจ้าตัวล้วน ๆ ซึ่งจากที่ดูมาก็ต้องงยอมรับว่าลุงหยิกของเราแทบไม่จำเป็นต้องกินบุญเก่าอีกต่อไปแล้วในการแสดงสด (แต่การโปรโมตก็คงต้องมีไว้บ้าง)

ปล. ตอนเล่น “Mind Your Manners”, “You’re a Lie” โคตรมันครับ ฟินน้ำแตก!


เพื่อนร่วมวงที่เคมีโคตรได้

ถึงจะเป็นคนที่เท่มาก ฝีมือการเล่นกีตาร์ดีมาก และเป็นไอคอนของดนตรีร็อก แต่ก็ต้องพูดกันตามตรงว่าลีลาของ Slash บนเวทีไม่ใช่คนประเภท entertainer ที่จะมาเล่นกับคนดูในฐานะฟรอนต์แมน (ซึ่งมือกีตาร์ที่เรามองว่าทำได้ดีมาก ๆ ในเรื่องนี้ก็มีแค่ Angus Young แห่ง AC/DC) ในจุดนี้จึงเป็นหน้าที่ของ Myles Kennedy แห่ง Alter Bridge ที่ไมได้มาทำหน้าที่แค่โชว์พลังเสียง แต่การเล่นกับคนดูก็ถือว่ามีส่วนช่วยให้โชว์สนุกขึ้นมากเหมือนกัน

ที่สำคัญคือสามหน่อ Brent Fitz, Todd Kerns และ Frank Sidoris แห่งวง The Conspirators ที่มาช่วยกันแบกลุงหยิกทั้งในอัลบั้มและการทัวร์คอนเสิร์ต ภาคริธึมแน่น ๆ จะไปรอดไม่ได้เลยถ้าไม่ได้สามคนนี้ แถมพี่ Todd มือเบสยังมีสกิลการร้องคอรัสที่โคตรดี! และในเพลงอย่าง “We’re All Gonna Die” ที่ Iggy Pop ร้องเอาไว้ หรือ “Doctor Alibi” ที่ Lemmy แห่ง Motörhead ผู้ล่วงลับร้องไว้ ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับเสียงของ Myles เท่าไหร่ เจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ


บางสิ่งหายไป แต่ก็ได้สิ่งใหม่มาทดแทน

ถ้าใครเคยดู Slash รอบที่แล้วน่าจะพอจำได้ว่าในโชว์มีช่วงให้น้าหยิกแกออกมาโซโล่เพลง theme song ของภาพยนตร์เรื่อง The Godfather ด้วย ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่โคตรเท่และทรงพลังมาก ๆ แต่กับโชว์นี้พาร์ทดังกล่าวไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว (ก็พอเข้าใจได้เพราะเพลงเยอะขึ้น) แต่เราก็ได้โมเมนต์อื่น ๆ ในงานมาแทนหลายอย่าง เช่นการโซโล่ท้ายเพลง “Wicked Stone” ที่ลากยาวหลายนาทีจนนึกว่าจะได้กลับบ้านหลังรถไฟฟ้าหมด หรือการพร้อมใจกันเปิดแฟลชมือถือในเพลง “Starlight” ที่ดึงเอาบรรยากาศของการเล่นเพลงบัลลาดร็อกขลัง ๆ มากระจายไว้ในฮอลแบบทั่วถึง เป็นต้น

ที่น่าเสียดายคือเพลงร้าย ๆ อย่าง “Beautiful Dangerous” ที่ Fergie ร้องเอาไว้ หายไปจากเซ็ตลิสต์แล้ว… ไฮไลท์ของยุคนั้นเลยนะครับ!


Opening Act ที่ทรงพลังไม่แพ้กัน

การเลือกเพิ่มวง The Sun เข้ามาเป็นวงเปิดในภายหลังถือเป็นการตัดสินใจของผู้จัดที่ถูกมาก ๆ (ยกเว้นทำให้งานมันเลิกดึกขึ้น T_T) เพราะด้วยแนวเพลงที่หนักกว่า และเนื้อเพลงที่สามารถเข้าถึงคนดูในงานได้มากกว่า แม้จะเล่นไม่นานแต่ก็กระตุ้นความสนุกให้กับคนดูได้มากทีเดียวครับ แถมไมได้มาร้องให้มันจบ ๆ กันไป มีช่วงให้น้าป๊อปมือกีตาร์แกโซโล่เรียกเสียงเฮจากคนดูรุ่นลุงในงานด้วย สำหรับตัวผมเองที่เพิ่งเคยดูเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ก็พบว่า… เชี่ย กูไปอยู่ไหนมาเนี่ย


รวม ๆ แล้ว โคตรสนุกเลยครับรอบนี้ ตอนแรกนึกว่าจะจืดลงเพราะน้าแกมาซ้ำ ที่ไหนได้คนละเรื่องกับรอบที่แล้วเลย ไม่ต้องเอาเพลง GN’R มาเล่นก็สนุกได้แล้ว คนมีไฟ มีไอเดีย อยู่ตรงไหนก็ไปรอดจริง ๆ … ว่าแต่เมื่อไหร่ Guns N’ Roses จะออกชุดใหม่อีกวะครับน้า!

และสุดท้ายนี้ ขอบคุณ PMG และ OVD สำหรับการอำนวยความสะดวกและการชวนไปดูคอนเสิร์ตดี ๆ ในครั้งนี้ครับผม!

Metallica ชวนสาวกดำดิ่งสู่ค่ำคืนกับ “Enter Night” เบียร์พิลสเนอร์ที่เตรียมกระจายสินค้าทั่วโลกในปีนี้

$
0
0

เพิ่งเขย่าวงการน้ำเมาด้วยเบลนด์วิสกี้ Blackened ไปได้ไม่นาน ล่าสุดเจ้าพ่อแทรชเมทัลรุ่นใหญ่อย่าง Metallica ก็กลับมาพร้อมกับน้ำเมาแบรนด์ใหม่ คราวนี้เป็น ‘เบียร์’

Enter Night เป็นเบียร์ประเภทพิลสเนอร์ (pilsner) ที่ทางวงร่วมกันทำกับ Arrogant Consortia บริษัทลูกในเครือของ Stone Brewing หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตน้ำเมารายใหญ่อันดับ 8 ของสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลปี 2017)

ว่ากันในเรื่องของรายละเอียด เบียร์ Enter Night ตัวนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5.7 เปอร์เซนต์ ซึ่งมีระดับ IBU (International Bittering Units) ที่ระดับ 45 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดเบียร์ขม มีผลิตออกมาวางจำหน่ายในรูปแบบกระป๋อง 16 ออนซ์เพียงขนาดเดียว (ประมาณเกือบ ๆ ครึ่งลิตร) โดยจะขายในรูปแบบแพ็ก 6 กระป๋องเท่านั้น

สำหรับเบียร์ประเภทพิลสเนอร์ เป็นชนิดเบียร์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองพิลเซน ในสาธารณรัฐเช็กตั้งแต่เมื่อ ค.ศ. 1842 เบียร์ประเภทพิลสเนอร์จัดเป็นเบียร์ที่ได้รับความนิยมและถูกผลิตขึ้นมากที่สุดในโลก จุดเด่นของเบียร์ประเภทนี้คือมีรสอ่อน หวานน้อย และมีสีเหลืองอำพัน หากจินตนาการไม่ออก ให้นึกถึงเบียร์ยี่ห้อ Budweiser

ที่จริงเบียร์ Enter Night เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา แต่ทางวงกำลังจะกระจายสินค้าไปทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 นี้ ก่อนที่จะตามมาด้วยการจัดจำหน่ายในระดับทั่วโลกในช่วงถัดไป (ซึ่งก็เดาไม่ยากว่าน่าจะไม่มีการนำเข้ามาในไทย ต้องขวนขวายไปตามหากันเอง)


Fun Fact: ‘Enter night’ เป็นวลีที่แฟนเพลง Metallica คุ้นเคยกันดี มาจากท่อนฮุกเพลง “Enter Sandman” ที่ร้องว่า “Exit light, enter night…” หากใครต้องการอรรถรสในการอ่านข่าวนี้ เรียนเชิญคลิกเพลงด้านล่างก่อนหนึ่งครั้งได้ตามสะดวกครับ

[ ที่มา – Loudwire, Food Network Solution, Brewers Association, teerapat.com ]

รู้จักกับ 5 สมาชิก Over It All – ซูเปอร์กรุ๊ปวงใหม่ที่นำทัพโดย Randy Blythe แห่ง Lamb of God

$
0
0

ในขณะที่ Lamb of God ยอดวงอเมริกันกรูฟ/แทรชเมทัลจากรัฐเวอร์จิเนียยังไม่มีแผนการปล่อยผลงานใหม่ Randy Blythe กระบอกเสียงของวงก็มีเวลา ‘ว่าง’ มากพอสำหรับทำโปรเจกต์อื่นรอเพือนร่วมวงไปพลาง ๆ

นอกจากนิตยสาร Unbuilt ที่ Randy และ Alex Skolnick มือกีตาร์ตัวจี๊ดแห่งวงแทรชเมทัล Testament ทำร่วมกัน ล่าสุดเขาก็ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกวง ชื่อว่า Over It All (หลังจากที่เคยทำวงชื่อ Halo of Locusts เมื่อราว ๆ ปี ค.ศ. 2004 แต่ไม่ได้แจ้งเกิดแม้แต่อัลบั้มเดียว) – ซึ่งนอกจาก Randy Blythe ที่รับหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของวงแน่นอนแล้ว สมาชิกคนอื่นในวงก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เราจะพาไปทำความรู้จักกับพวกเขากันคร่าว ๆ แบบรายคน


1. Randy Blythe นักร้องนำ Lamb of God

คงไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว หนึ่งในกระบอกเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวงการเพลงเมทัล สร้างชื่อกับ Lamb of God และยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกดนตรีจะหมุนไปในทางใดก็ตาม


2. Javier Reyes มือกีตาร์ Animals as Leaders

มือกีตาร์จากคณะโปรเกรสซีฟเมทัลตัวแรงแห่งยุคสมัย Animals as Leaders ที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และมีส่วนร่วมกับอัลบั้มมาแล้วถึงสามชุด ในชุดล่าสุด The Madness of Many เขารับหน้าที่ในตำแหน่งเบสควบคู่ไปด้วย ซึ่งก็ทำให้ในวงใหม่อย่าง Over It All เจ้าตัวได้รับหน้าที่ให้เล่นเบส เปลียนบรรยากาศไปอีกแบบ


3. Lorenzo Antonucci อดีตมือกีตาร์ Sworn Enemy

สมาชิกยุคก่อตั้งโคตรวงครอสโอเวอร์/เมทัลคอร์ตัวแรงคนนี้ ทราบแค่ว่าเมื่อออกจากวงไปเขาไปเป็นนักร้องนำวงดนตรีชื่อว่า SmashFace ที่ทำร่วมกับ Chris Storey มือกีตาร์วงเดธคอร์ All Shall Perish ซึ่งดูจากตำแหน่งนักร้องที่เต็มเรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้เราคิดว่าเขาน่าจะกลับมาประจำการที่ตำแหน่งกีตาร์เหมือนเดิม


4. JJ Cassiere จากเอเจนซี่ 33 & West

สำหรับมิตรสหายชื่อแปลกท่านนี้เราไม่ทราบข้อมูลจากเขามากนัก รู้แค่ว่าเป็นหุ้นส่วนของเอเจนซี่หน้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วจากแคลิฟอร์เนีย ชื่อว่า 33 & West ซึ่งดูแลศิลปินสายหนักอยู่มากหน้าหลายตา ทั้ง Dance Gavin Dance, Converge, Napalm Death, Dead Kennedys, Whitechapel, The Black Dhalia Murder เป็นต้น

และเขาคนนี้ก็เล่นเป็นผู้จัดการทัวร์ใน American Satan ที่นำแสดงโดย Andy Biersack แห่งวง Black Veil Brides และ Ben Bruce จาก Asking Alexandria ด้วย


5. Baron Bodnar ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Mediaskare Records

สมาชิกคนสุดท้ายของวง เขาคนนี้เป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของค่ายเพลงสายหนักชื่อว่า Mediaskare Records ซึ่งหลายคนน่าจะพอคุ้นหูอยู่บ้าง เพราะค่ายนี้เคยเป็นต้นสังกัดของศิลปินเมทัลรุ่นใหม่ ๆ อย่าง The Red Shore (ยุบวงไปแล้ว), Hundredth (ย้ายไปอยู่กับ Hopeless Records), The Ghost Inside (ย้ายไปอยู่กับ Epitaph Records), Volumes (ย้ายไปอยู่กับ Fearless Records) จะบอกว่าเป็นนักปั้นวงรุ่นใหม่ก็ว่าได้ ทีนี้เราจะได้เห็นฝีไม้ลายมือในอีกโหมดของเขาคนนี้กันบ้างครับ


ณ ปัจจุบัน นอกจากอินสตาแกรม @overitallofficial แล้ว ยังไม่มีช่องทางอื่นสำหรับให้เก็บข้อมูลหรือทำความรู้จักกับวงมากนัก ใครเล่นตำแหน่งไหนบ้างเราเองก็ยังไม่ทราบ แต่ที่รู้แน่นอนแล้วก็คือวงนี้ทำงานภายใต้สังกัด Sumerian Records ซึ่งก็น่าจะการันตีได้หนึ่งเรื่องว่า เราจะไดฟังเพลงและอัลบั้มของวงกันแน่นอน ไม่ล่มเหมือนตอนที่ Randy ทำ Halo of Locusts (555)

ในประวัติย่อของวงที่ระบุไว้บนอินสตาแกรม นอกจากแฮชแท็กของ Lamb of God, Sworn Enemy และ Animals as Leaders แล้ว ก็มีชื่อแท็กของวงดนตรีชื่อว่า Attics for Automatic รวมอยู่ด้วย แต่จากการค้นหาออนไลน์ เรายังไม่เจอข้อมูลใดใดเกี่ยวกับวงนี้ และไม่ทราบด้วยว่า JJ หรือ Baron ที่เป็นสมาชิกของวง (หรืออาจทั้งคู่ก็เป็นได้?)

ถ้าให้เดา วงนี้คงมีกลิ่นอายพังก์สะใจ ๆ ตามสไตล์ดนตรีโปรดของพี่ Randy Blythe นั่นแหละครับ แถมได้ตัวแรงอย่าง Lorenzo เข้ามาด้วย แล้วก็เพิ่งทำอัลบั้มรวมเพลงคัฟเวอร์วงพังก์ในนาม Burn the Priest อีก มันจะเป็นแนวอื่นไปได้ยังไง จริงมั้ยครับ!?

และสำหรับใครที่คิดถึงเสียงโหด ๆ ของ Randy ฟังเพลง The Truth is Dead จาก Mark Morton เพื่อนร่วมวงรอไปพลาง ๆ ครับ

[ ที่มา – Loudwire, Pollstar ]

“Land of the Free” – The Killers กับการแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัด ในยุคสมัยของ Donald Trump

$
0
0

อัลบั้ม Wonderful Wonderful ผลงานชุดล่าสุดของ The Killers ยังมีอายุได้ไม่ถึงสองปีเต็ม แต่เหล่านักฆ่าจากนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งมาเปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ก็ปล่อยซิงเกิลใหม่ต้อนรับปี ค.ศ. 2019 ออกมาให้เราฟังกันแล้ว

ว่ากันเรื่องดนตรี เพลงนี้ร็อกไม่หนัก แต่ด้วยเรื่องเนื้อหา ถือว่าเข้มข้น

“Land of the Free” เป็นเพลงช้าที่ถูกปล่อยออกมาในรูปแบบซิงเกิลเดี่ยว (standalone single) ไม่ผูกอยู่กับอัลบั้มใหม่ ๆ เพลงนี้เป็นการแสดงทรรศนะทางการเมืองของ Brandon Flowers นักร้องนำของวง

ช่วงเวิร์สแรกจนถึงฮุกแรก เป็นการท้าวความกลับไปยังอดีตเพื่อเกริ่นให้ทุกคนได้ทราบว่าตัวเพลงกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร คลอไปกับเสียงเปียโนเศร้า ๆ และเสียงประสานที่กัดกินหัวใจในท่อนฮุก – ในเวิร์สที่สอง Brandon เริ่มลงรายละเอียดเรื่องของปัญหาสังคมที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติที่เป็นประเด็นมากขึ้นในยุคของประธานาธิบดี Donald Trump

When I go out in my car, I don’t think twice
เวลาผมขับรถไปข้างนอก ผมไม่จำเป็นต้องลังเล

But if you’re the wrong color skin (I’m standing crying)
แต่ถ้าคุณมีผิวสีอื่นมันก็อีกเรื่องนึง (ผมยังคงร้องไห้)

You grow up looking over both your shoulders
คุณเติบโตขึ้นมาแบบต้องหวาดระแวงตลอดเวลา

In the land of the free
ในดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้

We got more people locked up than the rest of the world
เรามีผู้คนถูกกักขังไว้มากมายยิ่งกว่าสถานที่อื่นใดในโลกใบนี้

Right here in red, white and blue
ณ ที่นี้ ตรงที่มีสีแดง ขาว และน้ำเงิน

Incarceration’s become big business
การจำคุกกลับกลายเป็นธุรกิจใหญ่

It’s harvest time out on the avenue
และท้องถนนก็กลับกลายเป็นการเก็บเกี่ยว

นอกจากท่อนเวิร์สที่สอง ในท่อนบริดจ์ช่วงหลังของเพลงก็มีการพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับปืน (ที่มักมีให้เห็นบ่อยครั้งในสหรัฐอเมริกา) รวมถึงประเด็นการสร้างกำแพงเพื่อกีดกันชาวเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สมัยที่ Donald Trump พูดเอาไว้สมัยหาเสียงด้วย

ด้านมิวสิกวิดีโอเป็นหนังสั้นที่เก็บฟุตเตจโดย Spike Lee ผู้กำกับชาวอเมริกันผู้ขึ้นชื่อเรื่องผลงานที่เป็นประเด็นสังคม กับ “Land of the Free” เขานำเสนอภาพใบหน้าและบรรยากาศของเหล่าผู้คนที่อยู่ ‘อีกฟากของกำแพง’ ที่กั้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโกเอาไว้ รอยยิ้มของเหล่าเด็กน้อย การลักลอบปีนกำแพงข้ามมายังสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้อพยพ ฉากที่เรารู้สึกว่าโคตร touch สำหรับมิวสิกวิดีโอตัวนี้คือชายคนที่ยืนเล่นว่าวที่ริมทะเล (อย่าคิดทะลึ่ง) ที่ตัวเองยืนอยู่ที่ฝั่งเม็กซิโก แต่ตัวว่าวลอยเข้าไปอยู่ในฝั่งอเมริกา ฉากนี้ให้หลายความรู้สึกจนเกือบร้องไห้

Brandon Flowers ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงนี้ขึ้นมา ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุ Beats 1 ของ BBC Radio ว่า:

“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากในตอนนี้ครับ และไอ้ความ ‘พอกันที’ นี่แหละคือพื้นฐานที่มาที่ไปของเพลงนี้ ผมเริ่มคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์ [กราดยิงที่โรงเรียน] Sandy Hook – และในฐานะพ่อคน เรื่องนี้กระทบผมจัง ๆ และนั่นทำให้ผมเริ่มที่จะลงมือแต่งเพลงขึ้นมา มันเกิดจากเรื่องราวของคนอย่าง Eric Garner, Trayvon Martin [คนผิวสีที่ถูกตำรวจอเมริกันปลิดชีพ] รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่กำแพง [ที่ชายแดนสหรัฐฯ] ด้วย”

“สิ่งเหล่านี้มันดูไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่าเป็นค่านิยมที่เกิดขึ้นตอนที่ก่อตั้งประเทศนี้ ผมอาจจะเป็นคนที่เริ่มเขียนเพลงนี้แล้วก็ทิ้งมันไปพร้อมความรู้สึกที่ว่า ‘นี่ไม่ใช่หน้าที่กูนะ’ ก็ได้ หรือผมอาจจะรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ แล้วรอให้ … ใครซักคนลุกขึ้นมาเขียนเพลงนี้แทนก็ได้ แต่หลังจากที่มันมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย จนในท้ายที่สุด ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละครับ ทั้งที่ลาสเวกัส ออร์แลนโด พาร์กแลนด์ และมันยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ผมก็แค่รู้สึกว่าจำเป็นต้องปล่อยเพลงนี้ออกมา”

พอฟังเพลงนี้จบแล้วหันกลับมามองประเทศไทย บ้านเราเองก็มีประเด็นสังคมมากมายที่รอให้ถูกพูดถึงและลงรายละเอียดเพื่อร่วมกันหาทางออกไม่น้อย แต่จะมีศิลปินคนไหนกล้าหยิบยกมาพูด เหมือนที่กลุ่ม Rap Against Dictatorship ทำกับเพลง“ประเทศกูมี” หรือไม่ ก็ต้องมารอดูกันต่อไปครับ (เพราะประเทศเราไม่เหมือนเค้า ที่เอาการเมืองมาใส่ในงานบันเทิงแล้วจะมีกินมีใช้ ทำไปอดตาย ใครจะไปรับผิดชอบ) – แต่อย่างน้อยก็แอบหวังลึก ๆ ว่าจะมีใครลุกขึ้นมาชูธงนำทัพเพื่อใช้งานศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนที่ The Killers และศิลปินอีกหลายกลุ่มทำกับอเมริกาครับ

ฟังเพลง “Land of the Free”:

เนื้อเพลง “Land of the Free”:

[Verse 1]

Can’t wipe the wind-blown smile from across my face

It’s just the old man in me

Washing his truck at the Sinclair station

In the land of the free

His mother Adeline’s family came on a ship

Cut coal and planted a seed

Down in them drift mines of Pennsylvania

In the land of the free

[Chorus]

Land of the free, land of the free

In the land of the free

Land of the free, land of the free

Land of the free, land of the free

In the land of the free

(I’m standing crying)

[Verse 2]

When I go out in my car, I don’t think twice

But if you’re the wrong color skin (I’m standing crying)

You grow up looking over both your shoulders

In the land of the free

We got more people locked up than the rest of the world

Right here in red, white and blue

Incarceration’s become big business

It’s harvest time out on the avenue

[Chorus]

Land of the free, land of the free

In the land of the free

Land of the free, land of the free

Move on there’s nothing too see

Land of the free, land of the free

In the land of the free

[Bridge]

I’m standing crying, I’m standing crying

So how many daughters, tell me how many sons

Do we have to have to put in the ground before we just break down and face it

We got a problem with guns

In the land of the free

Down at the border, they’re gonna put up a wall

Concrete and rebar steel beams (I’m standing crying)

High enough to keep all those filthy hands off of our hopes and our dreams (I’m standing crying)

People who just want the same things we do

In the land of the free

[Chorus]

Land of the free, land of the free

In the land of the free

Land of the free, land of the free

Land of the free, land of the free

In the land of the free

Land of the free, land of the free

Land of the free, land of the free

Land of the free, land of the free

Land of the free, in the land of the free

(I’m standing crying)

Viewing all 6406 articles
Browse latest View live