ล่าสุดว่าที่หนังตำนานเรื่องนี้ก็เพิ่งไปกวาดรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ Golden Globe Awards มาสองรางวัลถ้วน ได้แก่ Best Motion Picture – Drama category หรือภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยม และ Rami Malek นักแสดงผู้รีบบทเป็น Freddie Mercury ก็ได้รับรางวัล Best Actor in a Motion Picture – Drama มาครอบครองด้วย
นอกจาก Rami Malek แล้ว ในรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลสาขาเดียวกันยังมีผู้รับบทเป็นนักดนตรีด้วยอีกหนึ่งคน คือ Bradley Cooper จากเรื่อง A Star is Born (ซึ่งจากมุมของผู้เขียนแล้ว แม้จะเป็นงานที่สเกลและความขลังน้อยกว่า แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรับชมมากครับ)
หลังจากที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาเพราะเหตุการณ์ ‘เพลงหลุด’ ล่าสุด “Cross Off” บทเพลงที่ Chester Bennington นักร้องนำวง Linkin Park ผู้ล่วงลับร่วมทำกับ Mark Morton มือกีตาร์วง Lamb of God เอาไว้ก็พร้อมปล่อยให้ฟังกันอย่างเป็นทางการแล้ว
ตัวเพลงเปิดด้วยเสียงร้องที่เราคุ้นเคยกันดี “Cross off the day gone / cross off the day gone” ตามมาด้วยการสำรอก “Gone by!” และริฟฟ์กีตาร์สำเนียงดุดันอันชวนให้นึกถึงเพลงของ Lamb of God ก็ดังตามขึ้นมาในทันที
เพลงนี้ผสมผสานระหว่างเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chester กับซาวด์ดนตรีเมทัลในสำเนียงของ Mark Morton เข้ากันได้ดี นอกจากริฟฟ์ขยี้โสตประสาทแล้ว การจัดวางโครงสร้างความหนัก-เบาของเพลงก็ทำออกมาได้พอเหมาะพอดี เป็นเพลงเมทัลหนัก ๆ ที่เสิร์ฟให้แฟนเพลง Linkin Park ที่ไม่ได้ชอบเมทัลฟังได้สบาย ๆ — ท่อนระเบิดพลังในช่วงท้ายเพลงของ Chester ชวนฮึกเหิมและทำให้รู้สึกเสียดายในเวลาเดียวกัน ว่าเราจะไม่มีวันได้ฟังเพลงนี้จากปากของเจ้าตัวสด ๆ แน่นอน
“Cross Off” เป็นซิงเกิลที่สองของ Anesthetic ผลงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ Mark Morton ซึ่งนอกจากร็อกสตาร์ผู้ล่วงลับแล้ว ในอัลบั้มนี้ยังมีแขกรับเชิญอีกเพียบ เช่น Jacoby Shaddix (Papa Roach), Myles Kennedy (Alter Bridge), Josh Todd (Buckchery) รวมถึง Alissa White-Gluz (Arch Enemy) และ Randy Blythe เพื่อนร่วมวง Lamb of God ที่มาร่วมร้องเพลงด้วยในซิงเกิลแรกของอัลบั้ม ชื่อว่า “The Truth is Dead”
เพลงนี้ทางวงเปลี่ยนมาใช้บริการ Courtney Ballard โปรดิวเซอร์และซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เคยผ่านการทำอัลบั้มให้กับวง Sleeping with Sirens, The Color Morale, Waterparks มาแล้ว ซึ่ง Bradley นักร้องนำพูดถึงเพลงนี้เอาไว้ว่า:
สำหรับเพลงที่ทำให้โลกโซเชียลของเหล่าชาวร็อกต้องลุกเป็นไฟในช่วงที่ผ่านมา น่าจะหนีไม่พ้น “medicine” ซิงเกิลที่สามจาก amo อัลบั้มเต็มลำดับที่หกของวงร็อกจากเกาะอังกฤษที่มหาชนรักนักรักหนาอย่าง Bring Me the Horizon เนื่องจากทำออกมาป๊อปเสียเหลือเกิน จนหลายคนเอาไปเทียบกับศิลปินสายหล่ออย่าง Justin Bieber กันเลยก็มี
แต่จากที่ไล่ฟังวนอยู่หลายรอบในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะว่า BMTH ทรยศวงการหรือไม่เคารพจุดยืนยังไงก็ตาม “ผมชอบนะครับ” — คือวงดนตรีหลายวงอาจจะชอบกับแนวทางที่ทำอยู่และไม่คิดจะเปลี่ยนไปหาแนวทางอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด (ไม่งั้น AC/DC คงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้) แต่ก็มีวงดนตรีหลายวงที่ต้องการแค่การทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ได้สนว่าจะเป็นแนวทางไหน ซึ่ง Bring Me the Horizon น่าจะจัดอยู่ในหมวดนี้มากกว่า
You rained on my heart for far too long (Far too long) Couldn’t see the thunder for the storm
“เธอทำให้ฝนตกในหัวใจฉันมานานเกินไป” ท่อนนี้ต้องพูดกันยาวเล็กน้อย — ท่อนนี้เป็นการใช้คำที่ฟังแล้วนึกถึงท่อนฮุกของเพลง “Doomed” จากอัลบั้มที่แล้ว (So come rain on my parade ’cause I wanna feel it.)
วลี ‘rain on someone’s parade’ เป็นการอุปมาอุปไมยให้ความสุขของคนเรามีสภาพเป็นเหมือนขบวนพาเหรดขบวนหนึ่ง และฝนที่ตกลงมาก็เป็นตัวแทนของความทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้เสียบรรยากาศแห่งความสุขไปนั่นเอง
ส่วนที่บอกว่า “Couldn’t see the thunder for the storm” ก็เป็นการพลิกแพลงมาจาก “Can’t see the forest for the trees” ที่เอาไว้พูดถึงพวกที่จับจดอยู่กับรายละเอียดเล็กน้อยของปัญหามากจนเกินไปจนมองไม่เห็นสถานการณ์โดยรวม เหมือนการมองเห็นแต่ต้นไม้ ไม่เห็นป่า หรือการเห็นแต่พายุ แต่ไม่เห็นสายฟ้าที่กำลังจะฟาดลงมา นั่นเอง
Because I cut my teeth and bit my tongue Till my mouth was dripping blood But I never dished the dirt, just held my breath While you dragged me through the mud
ส่วน ‘bite my tongue’ หรือการกัดลิ้นหมายถึงการฝืนใจพูด/ไม่พูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจจนเลือดกบปาก ส่วนในครึ่งหลังของท่อนนี้ ‘dish the dirt’ คือการหยิบเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาพูด
หากให้ตีความด้วยเรื่องราวชีวิตของ Oliver Sykes นักร้องนำ ผนวกกับข้อมูลบนโลกออนไลน์ที่หาได้ เราคิดว่าท่อนนี้เป็นการพูดถึง Hannah Snowdon อดีตภรรยาของเจ้าตัวที่คบชู้จนต้องเลิกรากันไป และการปิดปากเงียบก็หมายถึงการไม่พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้และการหย่าร้างออกสื่อ
สำหรับการปะทะกันระหว่างดนตรีเมทัล กับวัฒนธรรมป๊อป หนึ่งในคนดนตรีที่ชูธงต่อต้านสิ่งเหล่านี้เสมอมาก็คือ Gary Holt อดีตมือกีตาร์วงแทรชเมทัล Exodus ที่ตอนนี้มาประจำการกับต้นตำรับขาโหดอย่าง Slayer ก็เป็นอีกคนที่ใครต่างพากันนึกถึงครับ ในอดีตเขาเคยทำให้เสื้อยืดลาย Kill the Kardashians กลายเป็นไวรัลมาแล้ว และล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาแสดงความเห็นว่าวง Imagine Dragons นั้นเป็นวงดนตรีที่ห่วยแตกที่สุดที่เคยได้ฟังมา
หลังจากที่ได้รับชมการแสดงสดของ Imagine Dragons ในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศอเมริกันฟุตบอลระดับวิทยาลัย (College Football Playoff National Championship) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ณ Treasure Island ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Gary ก็ออกมาโพสต์อินสตาแกรมว่า:
นอกจากคำบรรยายในแคปชันของอินสตาแกรมแล้ว ภาพที่ Gary โพสต์ก็มีการแซะที่แรงไม่น้อย เป็นภาพของลิงสองตัวที่โหนขนตามนุษย์เล่น พร้อมก๊อปปี้ว่า “Imagine dragons suck giant harry balls” (จินตนาการว่ามังกรกำลังดูดไข่ลิงที่เต็มไปด้วยหมอยดูสิ)
หลังจากนั้นก็น่าจะเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์พอสมควร เพราะมีสำนักข่าวหลายแห่งนำไปรายงานต่อ ทั้ง Loudwire, AltPress, Tone Deaf, Ultimate-Guitar.Com, Metal Insider, Metal Addicts เป็นต้น ซึ่งก็ตามมาด้วยดราม่ามากมายทั้งบนเว็บไซต์เหล่านั้น และที่อินสตาแกรมของ Gary เอง จนทำให้ ณ เวลานี้โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทีนี้มาเข้าเรื่องกันที่ความ ‘ร็อก/ไม่ร็อก’ ของวง Imagine Dragons หากมองจากมุมมองของคนที่เติบโตมากับดนตรีเมทัลหนักกระโหลกทั้งชีวิตแบบ Gary Holt ที่เป็นสมาชิกของวงเมทัลระดับตำนานตั้งสองวง ดนตรีที่เบากว่าและซาวด์ที่ดูเป็นยุคใหม่กว่าของ ID ย่อมเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ร็อก’ สำหรับดาวเด่นแห่งวงการเพลงเมทัลอยู่แล้ว
นอกจาก Gary Holt แล้ว Anna Gaca จาก SPIN ก็เป็นอีกหนึ่งนักเขียนที่ออกมาเขียนบทความแสดงความเห็นว่า Imagine Dragons เป็นวงที่ห่วยแตกเช่นกัน หากใครพอมีเวลา ก็สามารถเข้าไปอ่าน (ฉบับภาษาอังกฤษ) กันได้ที่ Is Imagine Dragons the Worst Band Ever?
ปาร์ตี้ที่เว็บไซต์ Headbangkok ของพวกเรา จับมือกับ Old School Party ออแกไนเซอร์สายร็อกผู้ชื่นชอบปาร์ตี้จัดขึ้น รวบรวมเอาวงดนตรีสัญชาติไทยเจ๋ง ๆ มาบรรเลงเพลงคัฟเวอร์มัน ๆ ทั้ง Jimmy Revolt, The Story of Stoners, The 90s, Handy Marathon, Joeharry Bangkoker, Pretty Punks เรียกว่าจะรักป๊อปพังก์ยุคเก่าอย่าง blink-182 หรือวงรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง State Champs งานนี้เราก็มีให้ฟังกัน มาเถอะครับ อยากเจอ
มีรายงานจากสำนักข่าว Telegraph ออกมาว่าล่าสุดเพื่อนบ้านของ Jimmy และ Robbie เขียนจดหมายแจงไปยัง Kensington and Chelsea Counsil Planning Committee ให้ทางคณะกรรมการของสภาเมืองได้ทราบว่า Robbie Williams ตั้งลำโพงยักษ์นอกบ้าน และเปิดเพลงของวงร็อกวงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Led Zeppelin เช่น Black Sabbath, Pink Floyd, Deep Purple ใส่บ้าน Jimmy Page เพื่อปั่นประสาทร็อกสตาร์เจ้าของบ้านหลังติดกันในทุก ๆ ครั้งที่มองไปที่ข้างบ้านแล้วเห็น Jimmy
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลออกมาด้วยว่า Robbie แต่งกายเป็น Robert Plant ฟรอนต์แมนวง Led Zeppelin เพื่อกวนประสาทร็อกสตาร์บ้านใกล้เรือนเคียง แต่ยังไม่มีรายงานการโต้กลับจากยอดตำนานมือกีตาร์ผู้นี้ออกมาให้เราได้ทราบกัน
Telegraph ระบุไว้ในช่วงท้ายของรายงานว่า ฝ่ายผู้รับเหมาก่อสร้างของ Robbie Williams เคยถูกร้องเรียนเรื่องเรียงรบกวนจาก Jimmy Page มาแล้วหนึ่งครั้งในปี 2017 จนทำให้ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินสูงถึง 4,670 ปอนด์ หรือเกือบ ๆ สองแสนบาทไท
จนถึงตอนนี้สาวกเพลงเมทัล โดยเฉพาะแฟนคลับเดนตายของ Linkin Park และ Lamb of God น่าจะได้ฟัง “Cross Off” เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของ Mark Morton มือกีตาร์วง LoG ที่ได้ Chester Bennington ฟรอนต์แมนวง Linkin Park ผู้ล่วงลับได้ร่วมทำทิ้งท้ายไว้กันหมดแล้ว
แต่นอกจากความ Chester x Mark แล้ว เพลงนี้ยังมีเรื่องราวน่าสนใจอีกหลายข้อ วันนี้จะพาไปเรียนรู้เกี่ยวกับเพลงนี้ให้มากขึ้นกันแบบคร่าว ๆ เท่าที่เวลาและอินเทอร์เน็ตจะนำพาข้อมูลมาให้ครับ
Mike Shinoda เอ่ยปากชม
I remember when Chester played this song for me in his car, almost finished. He was really happy with it. Good stuff, Mark. https://t.co/PUQQS3Z8vv
นอกจาก Chester Bennington จะมารับหน้าที่เป็นนักร้องนำในเพลงนี้แล้ว ในฝั่งนักดนตรีที่มาร่วมอัดเบสและกลองก็ถือว่าคุณภาพระดับเวิลด์คลาสไม่แพ้กัน เพราะเขาคือ Paolo Gregoletto มือเบส และ Alex Bent มือกลองคนใหม่ล่าสุดของวงเมทัลกลางเก่ากลางใหม่ ว่าที่รุ่นใหญ่ของยุคถัดไปอย่าง Trivium นั่นเอง
ทีแรกจะเป็นเพลงของ Jamey Jasta วง Hatebreed
ข้อมูลจาก Linkinpedia ระบุไว้ว่า ในรายการ The Jasta Show ตอนที่ 316 นักร้องนำตัวแรงแห่งวง Hatebreed พูดออกรายการเอาไว้ว่าที่จริงแล้วในตอนแรกเริ่ม Mark แต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อให้เขาเป็นคนร้อง แต่เขาใช้เวลาทำงานกับเพลงดังกล่าวนานเกินไปมาก สุดท้ายแล้วเพลงก็ถูกส่งต่อไปให้กับ Chester แทน และเจ้าตัวก็ยอมรับตามตรงว่าเวอร์ชันที่ Chester ทำออกมานั้นดีกว่าตัวเองมาก ๆ
เป็นแทร็กเปิดอัลบั้ม Anesthetic
แม้จะถูกเปิดตัวออกมาเป็นซิงเกิลลำดับที่สองถัดจาก “The Truth is Dead” feat. Randy Blythe & Alissa White-Gluz แต่ “Cross Off” ถูกวางไว้ให้เป็นเพลงลำดับแรกของอัลบั้ม (ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนก็คือ เป็นการเปิดอัลบั้มที่เดือดมาก ๆ) กลับกันซิงเกิลก่อนหน้าก็ถูกหยิบไปวางไว้เป็นแทร็กปิดอัลบั้มแทน
เพลงนี้ ‘เคยหลุด’
ตามกำหนดการที่วางไว้ “Cross Off” จะเปิดตัวในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2019 แต่เกือบหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ในช่วงราวกลางเดือนธันวาคมปี 2018 ก็เป็นทางฝั่ง Apple Music ที่ ‘มือลั่น’ ดันเพลงนี้ขึ้นมาออนไลน์ในชาวดลกได้ฟังกันล่วงหน้า แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็ถูกเก็บเรียบก่อนที่จะมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการตามกำหนดการเดิม
โปรดิวเซอร์คนเดียวกับที่ทำให้ Lamb of God
นอกจาก Mark Morton และ Chester Bennington อีกหนึ่งบุคลากรที่มีส่วนสำคัญในผลงานเพลงนี้ก็คือ Josh Wilbur โปรดิวเซอร์ชาวอเมริกันผู้ซึ่งทำผลงานร่วมกับวง Lamb of God มาหลายต่อหลายชุด เช่น Wrath, Resolution, The Duke รวมถึงเคยทำงานโปรดิวซ์กับ Trivium มาด้วย ก็ถือว่าเข้าขากันดีตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ทันเริ่มบันทึกเสียงเพลงกันเลยด้วยซ้ำ (แถมเคยทำงานกับ Hatebreed ด้วย วนกันไปวนกันมา หน้าเดิม ๆ)
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับเพลง “All the Small Things” ในอัลบั้ม Enema of The State กับดนตรีป๊อปพังก์ที่ฟังง่าย สบายหู ใช้คำไม่ต้องเยอะ จนกลายเป็นสูตรสำเร็จของแพทเทิร์นป๊อปพังก์ในเวลาต่อมา blink-182 ก็นำความสำเร็จมาต่อยอดจนคลอดออกมาเป็นอัลบั้ม Take Off Your Pants and Jacket และผลงานชิ้นนี้ยังคงได้ Jerry Finn โปรดิวเซอร์มือฉมังสายพังก์ ที่เคยฝากผลงานไว้กับวง Rancid, Green Day, Alkaline Trio มารับหน้าที่ช่วยปลุกปั้นเช่นเคย อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “First Date”, “The Rock Show” และ “Stay Together for the Kids” แต่ที่จริงแล้วทุกเพลงในอัลบั้มนี้สามารถตัดออกมาเป็นซิงเกิลได้หมดอย่างไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ภาคดนตรีโดยรวมมีความเติบโตขึ้นจากอัลบั้ม Enema of the State แต่ยังคงคอนเซปต์ความเป็นวัยรุ่น ความเกรียน และความสนุกไว้ตลอดทั้งอัลบั้ม ผ่านทีมเวิร์กของสามสมาชิก Mark Hoppus, Tom DeLonge และ Travis Barker ด้วยสเน่ห์อันน่าหลงใหลทำให้อัลบั้มนี้เปิดตัวบนชาร์ตบิลบอร์ดในอันดับที่ 1 คว้ารางวัลแพลตตินั่มไปถึง 2 ครั้ง และจำหน่ายได้ถึง 14 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก
All Killer No Filter (2001) – Sum 41
โด่งดังตั้งแต่ปล่อยผลงานชุดแรก สำหรับวง Sum41 ป๊อปพังก์สายยียวนกวนประสาท จากแคนาดา ดนตรีของ Sum 41 มีความแตกต่างจากวงทั่วไป ๆ โดยเฉพาะในส่วนของไลน์กีตาร์ที่โดดเด่น เช่นในเพลง “In Too Deep” รวมถึงการร้องที่แอบอิงกระแสด้วยการเลือกการร้องแร็ปเข้ามาผสมอยู่ในเพลง “Fat Lip” หรือจะเป็นเพลงสับ ๆ สไตล์สเก็ตพังก์อย่าง “Never Wake Up” หรือเฮฟวี่เมทัลแบบ Iron Maiden ก็มีให้เสพในเพลง “Pain for Pleasure” แต่ภาพรวมของทั้งอัลบั้มเน้นไปที่จังหวะชวนโดดในโหมดป๊อปพังก์เป็นหลัก อัลบั้มนี้เคยไต่บิลบอร์ดชาร์ตได้สูงสุดในอันดับที่ 13 อีกด้วย
Bleed American (2001) – Jimmy Eat World
แม้ Jimmy Eat World จะเริ่มมีอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 1994 แต่กว่าที่วงจะสร้างชื่อเสียงโด่งดังก็ต้องใช้เวลาจนถึงอัลบั้มที่ 4 เลยทีเดียว อัลบั้มนี้มีความลงตัวในทุก ๆ ด้าน การจับการเดินคอร์ดกีตาร์ในรูปแบบป๊อปพังก์ผสมผสานกับเมโลดี้สวย ๆ ของอีโม ทำให้ดนตรีของ JEW ฟังได้ลื่นหูและไหลลื่น โดยเฉพาะซิงเกิลดังอย่าง “The Middle” ที่กลายเป็นเพลงสร้างชื่อให้กับวงอย่างแท้จริง และเพลงช้า ๆ ซึ้ง ๆ อย่าง “Hear You Me” ยังถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนต์เรื่อง Butterfly Effect ที่นำแสดงโดย Ashton Kutcher อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วอัลบั้มนี้ยังถูกยกให้เป็น 1 ใน 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมของนิตยสาร NME สุดจัดจริง ๆ
No Pads, No Helmets…Just Balls (2002) – Simple Plan
แค่ชื่ออัลบั้มก็เรียกเสียงฮาจากผู้พบเห็นได้แล้ว นอกจากความหมายแล้วชื่อก็ยังชวนให้แอบนึกถึงชื่ออัลบั้ม Take Off Your Pants and Jacket ของ blink-182 ได้ด้วยเช่นกัน ดนตรีอัลบั้มนี้เป็นซาวด์ป๊อปพังก์พิมพ์นิยมตามสมัย เมโลดี้มีกลิ่นอายของอีโมมาเพิ่มความน่าฟังให้กับเพลง ส่วนความพิเศษอยู่ที่เพลงดังอย่าง “I’d Do Anything” ที่ได้ Mark Hoppus แห่ง blink-182 มาร่วมแจม และ Joel Madden จาก Good Charlotte ที่โผล่มาแจมในเพลง “You Don’t Mean Anything” อัลบั้มนี้ถือเป็นก้าวแรกของวงในวงการดนตรีก่อนที่ Simple Plan จะประสบความสำเร็จและอยู่มายืดยาวจนปัจจุบัน
The Young and the Hopeless (2002) – Good Charlotte
วงดนตรีป๊อปพังก์ที่มีฝาแฝดตระกูล Madden อย่าง Benji และ Joel เป็นแกนนำของวง Good Charlotte ถือว่าเป็นวงที่โดดเด่นด้านการแต่งตัวมากในอัลบั้มแรก เพราะมากับคอสตูมสไตล์พังก์แบบเต็มสูบ เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็ม แต่พอมาในอัลบั้มนี้ทางวงก็ลดความจัดจ้านลงไป เช่นเดียวกับดนตรีในอัลบั้มนี้ที่ทำออกมาเจาะตลาดวงกว้างมากขึ้น มีความเป็นป๊อปสูงมาก ส่งผลในมีซิงเกิ้ลฮิตติดชาร์ตมากมาย เช่น “The Anthem”, “Lifestyles of The Rich & Famous” และ “Girls & Boys” แม้อัลบั้มนี้จะโดนวิจารณ์ว่าความเป็นพังก์มันเหลือน้อยมาก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายของพวกเค้าตกฮวบ เพราะอัลบั้มนี้คว้าไปถึง 3 แพลตตินัม จำหน่ายเฉพาะได้อเมริกาได้ถึง 3,500,000 ชุด พีกจริงอะไรจริง
Sticks and Stones (2002) – New Found Glory
จะบอกว่า New Found Glory เป็นม้ามืดที่ทะยานท้ากระแสป๊อปพังก์ก็คงไม่ผิดมากนัก เพราะอัลบั้มนี้คืออัลบั้มแจ้งเกิดในวงการดนตรีอย่างเต็มตัวของ New Found Glory หลังจากบ่มเพาะประสบการณ์อยู่ถึง 2 อัลบั้ม ด้วยเอกลักษณ์ทางดนตรีที่แตกต่าง ณ เวลานั้น ทำให้เป็นแรงผลักดันชั้นดี จนเข้าไปครองใจสาวกป๊อปพังก์ทั่วโลก สามารถไต่บิลบอร์ดชาร์ตขึ้นไปในอันดับที่ 4 ได้ และเพลงอย่าง “My Friends Over You” ก็ได้กลายเป็นเพลงชาติของวงมาจนปัจจุบัน แถมชื่อเพลง “The Story So Far” ในอัลบั้มนี้ยังได้กลายเป็นชื่อวงดนตรีป๊อปพังก์รุ่นหลังอีกด้วย
ก่อนที่ทางวงจะคลอดอัลบั้มนี้ออกมา บารมีที่เคยสร้างไว้กับอัลบั้ม Dookie กำลังโรยราลงไป แต่ในที่สุดอัลบั้ม American Idiot ก็กลับมาชุบชีวิตให้กับ Green Day และได้กลายเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีซที่ยากจะลืมเลือนของวง ดนตรีของอัลบั้มนี้มีการเรียบเรียงที่ค่อนข้างน่าสนใจผ่าน คอนเซปต์อัลบั้มที่จิกกัดประเทศตัวเองได้อย่างเจ็บแสบ บางเพลงมีความยาวถึง 9 นาที “Jesus of Suburbia” / “Homecoming” อีกทั้งยังมีอีกหลายซิงเกิลฮิตทั้ง “American Idiot”, “Wake Me Up When September Ends” และ “Boulevard of Broken Dreams” ด้วยความสุดยอดของอัลบั้มนี้ส่งผลให้สามารถทำยอดขายทั่วโลกไดถึง 16 ล้านก๊อปปี้ และขี้นชาร์ตอันดับ 1 มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลกเช่นกัน
From Under the Cork Tree (2005) – Fall Out Boy
ปิดท้ายกันด้วยวงอดีตเคยป๊อปพังก์อย่าง Fall Out Boy ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นวงทำเพลงตามกระแสดนตรีอย่างทุกวันนี้ FoB ก็เคยผลงานจัดจ้านในย่านป๊อปพังก์มาแล้ว ผลงานในอัลบั้มนี้ถือเป็นจุดกำเนิดความสำเร็จในวงการดนตรีของวงเลยก็ว่าได้ มีเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง “Dance, Dance” และ “Sugar, We’re Goin’ Down” ดนตรีในอัลบั้มนี้มีความเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมจากอัลบั้มแรก มีการเรียบเรียงดนตรีที่เข้าถึงง่ายแต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของวงในตอนนั้น ก็ยังหวังลึก ๆ ว่าเราจะได้ฟัง Fall Out Boy ในแบบป๊อปพังก์กันอีกครั้ง
พบกับ: • The Story of Stoners กับโชว์การเล่นเพลงของ blink-182 แบบครบเครื่อง • Jimmy Revolt ที่ขนเพลงดังจาก Green Day + The Offspring มาแบบเต็มกำลัง • Pretty Punks กับความสนุกของคนรุ่นใหม่ในเพลงของ State Champs • Joeharry Bangkoker และโชว์การคัฟเวอร์หาดูยากของ Jimmy Eat World + Against Me! • Handy Marathon กับความสนุกจัดเต็มด้วยเพลงของ Neck Deep • และ THE90s กับเซ็ตเพลง Mayday Parade ที่ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน!
Enter Night เป็นเบียร์ประเภทพิลสเนอร์ (pilsner) ที่ทางวงร่วมกันทำกับ Arrogant Consortia บริษัทลูกในเครือของ Stone Brewing หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตน้ำเมารายใหญ่อันดับ 8 ของสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลปี 2017)
ว่ากันในเรื่องของรายละเอียด เบียร์ Enter
Night ตัวนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5.7 เปอร์เซนต์ ซึ่งมีระดับ IBU (International Bittering Units) ที่ระดับ 45 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดเบียร์ขม มีผลิตออกมาวางจำหน่ายในรูปแบบกระป๋อง
16 ออนซ์เพียงขนาดเดียว (ประมาณเกือบ ๆ ครึ่งลิตร)
โดยจะขายในรูปแบบแพ็ก 6 กระป๋องเท่านั้น
ในขณะที่ Lamb of God ยอดวงอเมริกันกรูฟ/แทรชเมทัลจากรัฐเวอร์จิเนียยังไม่มีแผนการปล่อยผลงานใหม่
Randy Blythe กระบอกเสียงของวงก็มีเวลา ‘ว่าง’ มากพอสำหรับทำโปรเจกต์อื่นรอเพือนร่วมวงไปพลาง
ๆ
นอกจากนิตยสาร Unbuilt ที่ Randy และ Alex Skolnick มือกีตาร์ตัวจี๊ดแห่งวงแทรชเมทัล Testament ทำร่วมกัน ล่าสุดเขาก็ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกวง ชื่อว่า Over It All (หลังจากที่เคยทำวงชื่อ Halo of Locusts เมื่อราว ๆ ปี ค.ศ. 2004 แต่ไม่ได้แจ้งเกิดแม้แต่อัลบั้มเดียว) – ซึ่งนอกจาก Randy Blythe ที่รับหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของวงแน่นอนแล้ว สมาชิกคนอื่นในวงก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เราจะพาไปทำความรู้จักกับพวกเขากันคร่าว ๆ แบบรายคน
1. Randy Blythe นักร้องนำ Lamb of God
คงไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว หนึ่งในกระบอกเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวงการเพลงเมทัล สร้างชื่อกับ Lamb of God และยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกดนตรีจะหมุนไปในทางใดก็ตาม
2. Javier Reyes มือกีตาร์ Animals as Leaders
มือกีตาร์จากคณะโปรเกรสซีฟเมทัลตัวแรงแห่งยุคสมัย Animals as Leaders ที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และมีส่วนร่วมกับอัลบั้มมาแล้วถึงสามชุด ในชุดล่าสุด The Madness of Many เขารับหน้าที่ในตำแหน่งเบสควบคู่ไปด้วย ซึ่งก็ทำให้ในวงใหม่อย่าง Over It All เจ้าตัวได้รับหน้าที่ให้เล่นเบส เปลียนบรรยากาศไปอีกแบบ
3. Lorenzo Antonucci อดีตมือกีตาร์ Sworn Enemy
สมาชิกยุคก่อตั้งโคตรวงครอสโอเวอร์/เมทัลคอร์ตัวแรงคนนี้ ทราบแค่ว่าเมื่อออกจากวงไปเขาไปเป็นนักร้องนำวงดนตรีชื่อว่า SmashFace ที่ทำร่วมกับ Chris Storey มือกีตาร์วงเดธคอร์ All Shall Perish ซึ่งดูจากตำแหน่งนักร้องที่เต็มเรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้เราคิดว่าเขาน่าจะกลับมาประจำการที่ตำแหน่งกีตาร์เหมือนเดิม
4. JJ Cassiere จากเอเจนซี่ 33 & West
สำหรับมิตรสหายชื่อแปลกท่านนี้เราไม่ทราบข้อมูลจากเขามากนัก รู้แค่ว่าเป็นหุ้นส่วนของเอเจนซี่หน้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วจากแคลิฟอร์เนีย ชื่อว่า 33 & West ซึ่งดูแลศิลปินสายหนักอยู่มากหน้าหลายตา ทั้ง Dance Gavin Dance, Converge, Napalm Death, Dead Kennedys, Whitechapel, The Black Dhalia Murder เป็นต้น
และเขาคนนี้ก็เล่นเป็นผู้จัดการทัวร์ใน American Satan ที่นำแสดงโดย Andy Biersack แห่งวง Black Veil Brides และ Ben Bruce จาก Asking Alexandria ด้วย
5. Baron Bodnar ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Mediaskare Records
สมาชิกคนสุดท้ายของวง เขาคนนี้เป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของค่ายเพลงสายหนักชื่อว่า Mediaskare Records ซึ่งหลายคนน่าจะพอคุ้นหูอยู่บ้าง เพราะค่ายนี้เคยเป็นต้นสังกัดของศิลปินเมทัลรุ่นใหม่ ๆ อย่าง The Red Shore (ยุบวงไปแล้ว), Hundredth (ย้ายไปอยู่กับ Hopeless Records), The Ghost Inside (ย้ายไปอยู่กับ Epitaph Records), Volumes (ย้ายไปอยู่กับ Fearless Records) จะบอกว่าเป็นนักปั้นวงรุ่นใหม่ก็ว่าได้ ทีนี้เราจะได้เห็นฝีไม้ลายมือในอีกโหมดของเขาคนนี้กันบ้างครับ
ณ ปัจจุบัน นอกจากอินสตาแกรม @overitallofficial แล้ว ยังไม่มีช่องทางอื่นสำหรับให้เก็บข้อมูลหรือทำความรู้จักกับวงมากนัก ใครเล่นตำแหน่งไหนบ้างเราเองก็ยังไม่ทราบ แต่ที่รู้แน่นอนแล้วก็คือวงนี้ทำงานภายใต้สังกัด Sumerian Records ซึ่งก็น่าจะการันตีได้หนึ่งเรื่องว่า เราจะไดฟังเพลงและอัลบั้มของวงกันแน่นอน ไม่ล่มเหมือนตอนที่ Randy ทำ Halo of Locusts (555)
ในประวัติย่อของวงที่ระบุไว้บนอินสตาแกรม
นอกจากแฮชแท็กของ Lamb of God, Sworn Enemy และ Animals as Leaders แล้ว
ก็มีชื่อแท็กของวงดนตรีชื่อว่า Attics for Automatic รวมอยู่ด้วย
แต่จากการค้นหาออนไลน์ เรายังไม่เจอข้อมูลใดใดเกี่ยวกับวงนี้ และไม่ทราบด้วยว่า JJ
หรือ Baron ที่เป็นสมาชิกของวง (หรืออาจทั้งคู่ก็เป็นได้?)