Quantcast
Channel: Headbangkok
Viewing all 6406 articles
Browse latest View live

Whitechapel เปิดตัวเพลงใหม่ “Third Depth” มีร้องคลีน แต่ไม่เสียจุดยืนความโหด!

$
0
0

แม้จะเป็นวงดนตรีที่แปะป้ายแนวเพลงของตัวเองไว้ว่าเป็นเดธคอร์ แต่ Whitechapel จากเมืองน็อกซ์วิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ก็มี ‘โหมดเบา’ ที่อยากนำเสนอออกมาเช่นกัน

ในอัลบั้ม Mark of the Blade งานชุดก่อนหน้านี้ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี ค.ศ. 2016 Phil Bozeman นักร้องนำของวงเคยแสดงให้เห็นถึงฝีมือในการร้องเสียงคลีนมาแล้วหนึ่งครั้งในเพลง “Bring Me Home” ซึ่งก็ถือว่าเรียบเรียงเพลงออกมาได้ดี (กว่า “Doris” ของ Suicide Silence หลายเท่าตัว)

เวลาล่วงเลยมาถึงคริสต์ศักราช 2019 คณะโบสถ์ขาวก็เลือกที่จะปล่อยเพลงที่มีการร้องคลีนออกมาให้แฟนคลับได้ประหลาดใจกันอีกครั้ง กับเพลง “Third Depth” ที่เพิ่งเปิดตัว เพลงนี้ใช้เสียงคลีนของ Phil เป็นตัวเกริ่นเข้าเรื่อง สลับกับเสียงสำรอกที่เหล่าสาวกคุ้นเคยกันดี ด้านดนตรีไม่ได้เร็วสับแหลก เน้นไปที่ความหนักแน่น และการเติมหนัก-ผ่อนเบาให้เข้ากับการเล่าเรื่องของ Phil มากกว่า การสลับเสียงไปมาของเจ้าตัวในเพลงนี้ต้องบอกว่ามีไดนามิกที่ดีมาก ๆ และเป็นการตอกย้ำว่าเขาคืออีกหนึ่งในนักร้องเมทัลที่มากความสามารถสุด ๆ ของยุคนี้ครับ

ก่อนหน้านี้ Whitechapel ส่งเพลงจากอัลบั้ม The Valley ออกมาโปรโมตแล้วหลายเพลง หากสนใจฟัง ไล่ตามลายแทงกันไปได้ทิ่ลิงก์เหล่านี้ครับ: Brimstone”, “Black Bear

The Valley เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่เจ็ดของ Whitechapel มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 29 มีนาคมนี้ กับค่ายเพลง Metal Blade Records


“ทายซิว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่…?” – Corey Taylor แห่ง Slipknot โพสต์ภาพหยอกแฟนเพลงส่งตรงจากสตูดิโอ

$
0
0

แม้จะมีเพลงใหม่อย่าง “All Out Life” ออกมาให้ฟัง รวมถึงมีสมาชิกภายในวง Slipknot ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องอัลบั้มใหม่ที่จะออกในปี ค.ศ. 2019 อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็แทบไม่มีภาพความคืบหน้าของการทำเพลงออกมาให้สาวก เหล่า Maggots ได้ชื่นใจกันแม้แต่ภาพเดียว

แต่ล่าสุดเมื่อวานนี้ (16 มกราคม) Corey Taylor กระบอกเสียงคอหนาขาโหดของวงก็โพสต์ภาพเซลฟี่ของตนเองภายในสตูดิโอแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ระบุพิกัดไว้ พร้อมเขียนคำบรรยายภาพว่า “ทายซิว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่…?” ซึ่งคำตอบก็น่าจะมีแค่ข้อเดียว – ทำอัลบั้มใหม่ของวง Slipknot

ภาพดังกล่าวได้รับความสนใจสูงมาก ระหว่างที่กำลังเขียนถึง มีคนกดไลก์เกือบ 80,000 ครั้งแล้ว รวมถึงมีคอมเมนต์จากเหล่าแฟนเพลงเข้าไปแสดงความตื่นเต้นกันถึงมากกว่า 1,600 ครั้ง ซึ่งก็น่าจะพอบอกได้ว่า งานสตูดิโออัลบั้มชุดต่อจาก .5: The Grey Chapter นั้นเป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนเพลงขาโหดกันมากน้อยแค่ไหน

ยังไม่มีกำหนดการอย่างเป็นทางการจากทางวงว่าจะปล่อยเพลง-วันวางจำหน่ายออกมาในเดือนไหน แต่จากรูปการณ์ ยังไงก็ปีนี้แน่นอน มารอติดตามความหนักหน่วงของเหล่าเก้าหน้ากากนรกวงนี้ไปพร้อม ๆ กันครับ

View this post on Instagram

Guess what we’re doin…?

A post shared by Corey Taylor (@coreytaylor) on

Red Hot Chili Peppers มีโอกาสมาไทยในปี 2019 หรือไม่?

$
0
0

ถ้าพูดถึงวงร็อกรุ่นใหญ่ ที่เคยมาเยือนเมืองไทย แล้วไม่กลับมาซ้ำซักที  ชื่อของ Red Hot Chili Peppers น่าจะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในใจใครหลายคน Foo Fighters ก็มาไปแล้ว Green Day ก็มาไปแล้ว Coldplay ก็มาไปแล้ว (ถึงรอบหลังจะทิ้งความบริทร็อกไปแล้วก็ตาม) แต่ในปี ค.ศ. 2019 หลายคนก็ลุ้นกันเหลือเกินว่า เราอาจจะได้ดูโชว์ของรุ่นใหญ่สายฟังก์ร็อกแสนสนุกวงนี้ในผืนแผ่นดินไทยกันอีกซักครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ที่เพจ JAMM ผู้จัดคอนเสิร์ต Foo Fighters Live in Bangkok เคยโพสต์ภาพของวง RHCP เอาไว้ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่าจะนำวงมาเล่น แต่การที่โปรโมเตอร์คอนเสิร์ตพูดถึงวงดนตรีซักวง ก็ทำให้หลายคนตีความกันไปแล้วว่าเป็นการโยนหินถามทางก่อนซื้อโชว์มาเปิดแสดง แต่กาลเวลาก็ทำหน้าที่พิสูจน์แล้วว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการชวนคุยเฉย ๆ เพราะยังไม่มีคอนเสิร์ตของ Red Hot Chili Peppers เกิดขึ้น แฟนคลับก็ยังต้องรอกันต่อไป


ต้นปี 2019 หลายคนก็ยังลุ้นกันอยู่ว่า พอหมดช่วงทัวร์ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมแล้ว วงจะบินต่อมาในแถบเอเชียหรือไม่ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ยากแล้วเพราะวงเพิ่งประกาศโชว์ที่พีระมิดกีซา ในประเทศอียิปต์ในวันที่ 15 มีนาคมออกมา การจะบินข้ามไปตรงนั้นแล้วกลับมาเอเชียอีกเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองมาก ไม่น่าจะมีโปรโมเตอร์เจ้าไหนยอมซื้อมา ซึ่งนั่นหมายความว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป Red Hot Chili Peppers จะถอยห่างออกไปไกลจากเอเชียไปเรื่อย ๆ

แต่ก็ยังพอมีหวังให้ได้ลุ้นกันอีกรอบในปีนี้ เพราะเทศกาลดนตรีสุดร้อนแรงของญี่ปุ่นอย่าง Summer Sonic เพิ่งประกาศเฮดไลน์วงแรกออกมา และวงวงนั้นก็คือ Red Hot Chili Peppers! ซึ่ง ถ้าใครติดตามวงการคอนเสิร์ตต่างประเทศมาเรื่อย ๆ น่าจะรู้กันดีว่า Summer Sonic คือขุมทรัพย์ของวงการเพลงในเอเชีย มีงานเมื่อไหร่ ประเทศรอบ ๆ ก็จะได้รับอานิสงส์ของเอเชียทัวร์ไปด้วย (อย่างปีที่แล้ว Nine Inch Nails ก็มาเล่นที่บ้านเราก่อนไปงานนี้ เป็นต้น)


เอาเป็นว่า ไปลุ้นช่วงเดือนสิงหาฯ กันอีกซักรอบ ดูจะง่ายกว่าการมาลุ้นในวงประกาศเยือนเอเชียก่อนไปทัวร์ออสเตรเลียครับ เพราะไม่เหลือเวลาให้โปรโมตหรือเก็บเงินซื้อบัตรแล้วโว้ย!

2019 เป็นปีที่มีแนวโน้มว่าการออกทัวร์รอบโลกครั้งใหม่ของ Red Hot Chili Peppers อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว Anthony Kiedis ฟรอนต์แมนของวงเคยให้สัมภาษณ์ไว้ระหว่างออกงานที่ New York Fashion Week ว่ากำลังจะเริ่มทำอัลบั้มใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป จนถึงตอนนี้ก็น่าจะมีเพลงในคลังเตรียมไว้หลายเพลงแล้วครับผม!


ปล. ภาพด้านล่างนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับบทความ แต่เห็นแล้วร้อง เหยดดดด เลยครับ Red Hot Chili Peppers จะจัดแสดงคอนเสิร์ตที่พีระมิดในเมืองกีซา ประเทศอียิปต์ อยากบินไปดูของจริงเลยเนี่ย


คืนวงการ! Abuse the Youth ปล่อยซิงเกิลแรกในรอบ 5 ปี “We Meet Again”

$
0
0

ไม่แน่ใจว่า Abuse the Youth หายไปกี่ปี แต่รู้สึกไม่นานเพราะมีพี่ ๆ สมาชิกวงบางส่วนเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กและเห็นความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด แต่พอทราบข่าวจากทางค่าย What the Duck ต้นสังกัดใหม่ของวงก็พบว่า วงเงียบหายไปตั้งห้าปีแล้ว (ช่วงเดียวกับที่เจอพี่ตูน มือเบสที่เทศกาล Knotfest Japan พอดี)

ช่วงก่อนที่วงจะเงียบหายไป เพลงเด่น ๆ ดัง ๆ ที่คนพูดถึงมักจะเป็นเพลงช้ามากกว่า ทั้ง “บทเพลงกระซิบ” และ “ชีวิตเดิมเริ่มใหม่” แต่กับซิงเกิลคัมแบ็กอย่าง “We Meet Again” กลับมาเป็นเพลงร็อกโจ๊ะ ๆ พุ่ง ๆ ที่โยกตัวตามได้สนุกดี เครื่องดนตรีทุกชิ้นดูมีทีมเวิร์กและไปด้วยกันได้ดีแบบไม่มีใครขโมยซีนใคร งานมันก็เลยออกมาอร่อยกลมกล่อมกำลังดี เนื้อหามาในมูดแอนด์โทนแบบฟีลกู๊ด ว่าด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ซึ่งก็ไม่ได้เขียนออกมาแบบส่วนตัวนัก คนฟังสามารถนำไปโยงเข้ากับประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวได้ไม่ยาก ถือว่าแต่งมาดี – ด้านมิวสิกวิดีโอยึดคอนเซปต์น้อยแต่มากได้น่าสนใจมาก ๆ สถานที่เดียว นักแสดงมีแค่คนในวง แต่เล่นใหญ่ด้วยการถ่ายลองเทคแบบที่ถึงจะต้องทำหน้าสนุกกับการเล่นดนตรี แต่ตอนถ่ายจริงก็น่าจะเหนื่อยใช่ย่อย (หรือให้พูดกันตรง ๆ ก็คือ น่าจะวิ่งกันหอบแดก)

ยังไงก็ตาม ยินดีต้อนรับการหวนคืนวงการครับผม ยินดีที่ได้พบกันใหม่!

สำหรับใครที่ต้องการติดตามผลงานของ Abuse the Youth เข้าไปกดไลก์เพจ ATY x Abuse the Youth และค่าย What the Duck กันได้ตามสะดวกครับ

“นอกจากชื่อฉัน” ผลงานแนวอีซี่คอร์ใหม่ล่าสุดจาก The Ginkz ที่มันและสนุกจนเผลอลืมต้นฉบับ

$
0
0

พูดชื่อ วรุตม์ อ่อนอุ่นจิตร ออกมา คนอาจจะมีคำถามตามออกมาว่า “ใครวะ?” แต่ถ้าพูดว่าเขาคือ วิน-เดอะ กิ๊งฮ์ แล้วล่ะก็… ก็น่าจะมีคนถามว่าใครวะอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราจะขอข้ามเรื่องนี้ไปแล้วเข้าเรื่องเลยว่า The Ginkz วงพาโรดี้ร็อกตัวแรงเพิ่งปล่อยเพลงใหม่ออกมาให้ฟังกัน เป็นงานคัฟเวอร์เพลง “นอกจากชื่อฉัน” เพลงช้ำ ๆ ของ ActArt ที่ถูกจับมาใส่ความจัดจ้านเข้าไปใหม่จนจำของเดิมแทบไม่ได้

เพลงถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเพลงแนวอีซี่คอร์ (ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ให้จินตนาการพวกเพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์ที่ถูกปรับลดความโหด เพิ่มความคลีน ความป๊อปเข้าไป A Day to Remember, Chunk! No, Captain Chunk! อะไรพวกนั้น) ซึ่งใส่ความสนุกลงมาในเพลงแบบเต็มพิกัดมาก มีกลิ่นป๊อปพังก์ทั้งอารมณ์ชวนโดดและท่อนสับ ๆ แบบที่ทำให้อยากออกวิ่ง ซาวด์อิเล็กทรอนิกปน พร้อมเสียงสำรอกแน่น ๆ ที่แทรกมาในบางท่อนตามแบบแผนของแนวนี้ – และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือตัว lyric video ที่เล่นกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้สนุกมาก ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่การพิมพ์ค้นชื่อเนื้อเพลงไปเรื่อย ๆ แต่ก็นั่นแหละครับ นี่เดอะ กิ๊งฮ์ ธรรมดาโลกไม่จำ

ใครยังไม่เข้ารีตเป็นชาวกิ๊งฮ์ก็ไปกดไลก์เพจวงกันได้ที่นี่ครับ facebook.com/theginkz

เพลงนี้เป็นผลงานภายใต้ค่าย Battery Music ซึ่ง วิน นักร้องนำของวงก็กำลังจะมีผลงานในโปรเจกต์ เพลงเรื่องใหญ่ #รักก็เช่นกัน ที่นักแต่งเพลงรุ่นใหญ่อย่าง ใหญ่-อาทิตย์ สาระจูฑะ จะมาแต่งเพลงใหม่ให้ศิลปินหลาย ๆ คนร้องด้วย

ติดตามรายละเอียดอื่น ๆ ได้ที่เพจค่าย facebook.com/BatteryMusic

ค่ายเพลงพังก์รุ่นใหญ่เตรียมปล่อยอัลบั้มทริบิวต์ฉลองครบ 25 ปี “Dookie” ของ Green Day

$
0
0

และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ Dookie อัลบั้มสร้างชื่อของ Green Day วงพังก์ร็อกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ก็จะมีอายุครบ 25 ปี เข้าสู่เบญจเพสอย่างเต็มตัว (อายุมากกว่าช่วงเวลาที่ผู้เขียนรู้จักกับดนตรีป๊อปพังก์/พังก์ร็อกเสียอีก) – และในวาระฉลองครบรอบครั้งยิ่งใหญ่ Asian Man Records ค่ายเพลงพังก์รุ่นเก๋าจากรัฐแคลิฟอร์เนียก็หยิบเอาศิลปินในค่ายมาเล่นคัฟเวอร์เพลงจากอัลบั้มนี้กันวงละหนึ่งเพลงเพื่อสดุดีหนึ่งในวงดนตรีที่แบกเอาแนวดนตรีพังก์ไปให้ชาวโลกได้รู้จักเป็นวงกว้าง

Gilman Street’s Ripoff คือชื่อของอัลบั้มทริบิวต์ชุดนี้ ซึ่งชื่ออัลบั้มก็ได้มาจาก 924 Gilman Street ซึ่งเป็นที่ตั้งของคลับเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เป็นจุดเริ่มต้นของวง Green Day

จากที่ไล่ดูรายชื่อทั้ง 15 ศิลปินก็ต้องยอมรับตามตรงว่าไมค่อยคุ้นชื่อวงต่าง ๆ นัก แต่ “In the End” เวอร์ชันที่วงพังก์รุ่นเก๋า Corrupted Morals เล่นไว้ก็ถือว่าจัดจ้านไม่แพ้ต้นฉบับ (ฟังได้ที่ท้ายข่าว)

Gilman Street’s Ripoff จะผลิตออกมาในรูปแบบแผ่นเสียง ซึ่งตามที่ Rock Sound Magazine ระบุไว้ อัลบั้มทริบิวต์ชุดนี้จะวางจำหน่ายในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ในรูปแบบแผ่นเสียง ซึ่งทางเว็บไซต์ของค่ายเพลง Asian Man ก็เปิดให้พรีออเดอร์กันแล้วด้วย ใครสนใจก็เข้าไปเสียเงินกันได้ที่ลิงก์นี้

ปกอัลบั้ม:

รายชื่อเพลง:

  • Hotbods – “Burnout”
  • Grumpster – “Having a Blast”
  • Little Debbie And The Crusaders – “Chump”
  • Unpopular Opinion – “Longview”
  • Neverlyn – “Welcome to Paradise”
  • Sarchasm – “Pulling Teeth”
  • Like Roses – “Basket Case”
  • Pity Party – “She”
  • Danger Inc. – “Sassafras Roots”
  • Gnarboots – “When I Come Around”
  • Get Married – “Coming Clean”
  • Deseos Primitivos – “Emenius Sleepus”
  • Corrupted Morals – “In The End”
  • Rex Means King – “FOD”
  • Weeny Witch – “All By Myself”

ฟัง “In the End” – Corrupted Morals:

BAND-MAID กลับมาทำให้ใจละลายอีกครั้งกับเมเจอร์ซิงเกิลลำดับที่ 5 “Bubble”

$
0
0

สิ่งที่ทำให้ปี 2019 ดูเริ่มต้นได้สวยมากก็คือการที่ BAND-MAID ปล่อยเพลงใหม่ – สิ่งที่เหมือนเดิมคือสมาชิกวงทุกคนยังใส่ชุดเมดน่ารัก ๆ ที่เตะตาโคตร ๆ และฝีมือการร้องและเล่นดนตรีที่ดีเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยน

แต่สิ่งที่ต่างก็คือ “Bubble” เมเจอร์ซิงเกิลลำดับที่ห้าของวงไม่ได้ฟังง่ายเหมือนผลงานก่อนหน้า

แม้จะยืนพื้นด้วยแนวฮาร์ดร็อกที่ปรับซาวด์ให้ทันสมัยขึ้นซึ่งก็ดูจะเป็นลายเซ็นของวงไปแล้ว ทางวงก็เลือกที่จะใส่ลูกล่อลูกชนใหม่ ๆ ลงไปในเพลงด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกว่าเพลงมีความ ‘ฟังยาก’ ขึ้นมาเล็กน้อย มองแบบภาพรวมเพลงนี้ถือว่า ‘เจ๋ง’ ในมาตรฐานของ BAND-MAID อยู่ แต่ถ้าคิดจะเปิดเพลงของวงเพื่อตกคนรอบข้างมาฟัง คิดว่ามีเพลงที่สามารถปล่อยหมัดฮุกได้ดีกว่านี้อยู่ในคลังเพลงของวงอีกเพียบครับ (แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบท่อนที่ร้อง เยเยเยเย้เย่ห์ ในท่อนบริดจ์มากครับ เท่จัง!)

และนอกจาก “Bubble” ซิงเกิลล่าสุดที่ปล่อยออกมาทั้งมิวสิกวิดีโอและเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแล้ว ก็พบว่ามีซิงเกิล“glory” ที่เปิดตัว MV ออกมาเมื่อปลายปีก่อนให้ฟังบน Spotify/Apple Music แล้วด้วยเช่นกัน ขยันปล่อยแบบนี้ปีนี้ก้อยากจะเห็นอัลบั้มเต็มอีกซักชุดเหมือนกันครับผม

ปล. เพลงนี้ภาพปกแสบมาก ล้อกระแสหนัง Bohemian Rhapsody เฉยเลย (แต่ที่ญี่ปุ่นวง Queen ก็ดังมากจริง ๆ นั่นแหละครับ)

ร็อกยังไม่ตาย แต่ได้ขึ้นสวรรค์ – เทศกาลร็อกแห่งชาติ Paradise Fest ประกาศเตรียมจัดงานที่เขาใหญ่

$
0
0

แม้จะมีศิลปินสายร็อกบางส่วนออกมาแสดงความเห็นว่าดนตรีร็อกตายไปแล้ว (Rock is dead.) ทว่าในความเป็นจริง ยังมีกลุ่มคนที่สนับสนุนวงการเพลงร็อก-เมทัลอย่างเหนียวแน่นอยู่อีกมาก ทั้งในซีนเพลงต่างประเทศเองรวมถึงประเทศไทยด้วย

ช่วงหลายปีหลังที่ดูเหมือนกระแสดนตรีในเมืองไทยจะเทไปทางอินดี้และEDM เป็นหลักแต่ฝั่งเพลงร็อกก็ยังประคับประคองกันมาได้เรื่อย ๆ โดยมีตัวชี้วัดคืองานบานาน่ามหาชน และ Paradise Fest ที่จัดขึ้นทีไรก็มีเมทัลเฮดเข้าร่วมเป็นจำนวนมากทุกครั้งไป

จากดาดฟ้าห้างสรรพสินค้า Fortune Town สู่ลานกว้างของห้าง Show DC ล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 นี้ทางผู้จัดเทศกาลดนตรี Paradise Fest ก็ประกาศออกมาแล้วว่างานจะย้ายจากกรุงเทพมหานครไปจัดกันที่ 8 Speed อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งนั่นหมายความว่า สเกลงานที่เราคิดว่าใหญ่อยู่แล้ว ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกในปีนี้ โดยงานจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคมนี้ กับราคาบัตร early-bird ที่ราคา 800 บาทเท่านั้น และมีโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 ในระหว่างวันที่ 1-10 มีนาคมนี้

เข้าไปทำความรู้จักกับ 8 Speed สถานที่จัดงานในครั้งนี้กันเพิ่มเติมได้ที่เพจ 8speedkhaoyai

ยังไม่มีการประกาศไลน์อัพออกมาอย่างเป็นทางการ แต่จากโพสต์ต้นทางที่เพจ Paradisefest มีการเปรยไว้ว่างานปีนี้จะมีทั้งหมด 3 เวที กับศิลปินกว่า 200 ชีวิต ซึ่งโดยปกติแล้ววงดนตรีหนึ่งวงมีสมาชิกราว 5 คน หาก หากให้เดาก็จะมีวงดนตรีเข้าร่วมราว 40 วง และด้วยปริมาณ 3 เวทีก็ทำให้เฉลี่ยกันออกไปราวเวทีละ 12-13 วง

บัตรจะวางจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทาง คือที่ 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ ทางเพจ Paradisefest เอง และทางแอปพลิเคชันชื่อ The Concert (ลองค้นดูแล้วยังไม่เจอว่าเป็นแอปไหนกันแน่ คงต้องรอทางผู้จัดประกาศอีกที)

เป็นสัญญาณที่ดี แล้วมารอติดตามไลน์อัพเทศกาลดนตรีจากสรวงสวรรค์ครั้งนี้ไปพร้อมกันครับ


Cannibal Corpse ดึงมือกีตาร์รุ่นใหญ่จาก Hate Eternal เสริมทัพแทนตัวจริงที่ถูกจับเพราะครอบครองปืนไฟ

$
0
0

การที่ Pat O’Brien มือกีตาร์ตัวหลักของวงเดธเมทัลรุ่นใหญ่อย่าง Cannibal Corpse ยังอยู่ในช่วงถูกดำเนินคดีจากหลายสาเหตุ (บุกรุก ทำร้ายร่างกาย ขัดขืนการจับกุม มีอาวุธสงครามในครอบครอง) ก็ไม่ได้แปลว่าวงดนตรีของเขาจะต้องถูกถ่วงให้หยุดชะงักไปด้วย ทัวร์ต้องดำเนินต่อไป สมาชิกในวงยังคงต้องกินต้องใช้

และล่าสุดคณะศพกินคนแห่งฟลอริดาก็ได้สมาชิกเข้ามาทดแทนขุนขวานที่เสียให้กับเจ้าหน้าที่รัฐไปเรียบร้อยแล้ว เขาคือ Erik Rutan มือกีตาร์/นักร้องนำจากโคตรเดธร่วมเมือง Hate EternalErik จะร่วมทัวร์กับวงในทัวร์ Decibel Magazine Tour และทัวร์อำลาวงการของ Slayer ที่มีวง Lamb of God และ Amon Amarth ร่วมทางไปด้วยในช่วงกลางปีนี้ ยังไม่มีการยืนยันออกมาว่าเขาจะอยู่กับวงแบบถาวรหรือไม่ (ซึ่งมีแนวโน้มน้อยมาก เพราะเจ้าตัวมีวงตัวเองที่ต้องดูแล)

หลายคนมองว่าการเลือก Erik Rutan เข้ามาเสริมทัพในช่วงเวลาอันย่ำแย่ ณ เวลานี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะนอกจากเขาจะเป็นมือกีตาร์ฝีมือเยี่ยมของวงการเพลง (โดยเฉพาะในซีนเดธเมทัล) เจ้าตัวยังเคยโปรดิวซ์ผลงานของวง Cannibal Corpse มาถึงสี่อัลบั้ม ได้แก่ Kill, Evisceration Plague, Torture และ Red Before Black ซึ่งก็ทำให้ถือว่ามีความคุ้นเคยและรู้ฝีไม้ลายมือกันดีในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ แถมเจ้าตัวยังเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของโคตรวงเดธเมทัลรุ่นใหญ่กว่าอย่าง Morbid Angel ด้วย ในชั่วโมงนี้ไม่มีตัวเลือกไหนเหมาะสมไปกว่าเขาคนนี้อีกแล้ว!


สำหรับคนที่มาไม่ทันข่าวของ Pat O’Brien ก่อนหน้านี้ สามารถอ่านย้อนหลังได้จากลิงก์ด้านล่าง

[ ที่มา – Blabbermouth.net ]

2 เบาะแสใหม่ เกี่ยวกับความ ‘หนักหน่วง’ในอัลบั้มใหม่ของ Slipknot

$
0
0

สิ่งหนึ่งที่เมทัลเฮดพากัน hype มากในช่วงต้นปี ค.ศ. 2019 คืออัลบั้มใหม่ของวง Slipknot ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งเป็นผลมาจากการให้สัมภาษณ์แบบเล่นใหญ่ของ Corey Taylor นักร้องนำของวงที่เคยบอกไว้ในการให้สัมภาษณ์บ่อยครั้งว่างานชุดนี้จะกลับไปหนัก (heavy) แบบอัลบั้มสร้างชื่อในวันวานและขึ้นหิ้งเรียบร้อยแล้วอย่าง Iowa

ผลงานของ Slipknot ในช่วงหลัง ทั้ง All Hope is Gone และ .5: The Gray Chapter ไม่ถึงขั้นแย่ และมีเพลงฉบับมันสะใจมากระแทกหูเหล่า Maggots หลายต่อหลายเพลง แต่ถ้าให้เทียบกันแล้ว เพลงอย่าง “All Hope is Gone” หรือ “A.O.V.” ก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับเพลงชาติของการระบายอารมณ์อย่าง “People = Shit” หรือเพลงโคตรกระแทกกระทั้นอย่าง “The Heretic Anthem” จากอัลบั้มดังแห่งปี 2001 ได้อยู่ดี

เมื่อวันฮัลโลวีนปีก่อน (2018) Slipknot เซอร์ไพรส์แฟนเพลงด้วยการปล่อย “All Out Life” ออกมาในรูปแบบ standalone single ให้ได้เฮกัน แม้เพลงนี้จะมีความหนัก มัน และทำให้สัมผัสได้ถึง brand DNA แห่งความหนักหน่วงในสไตล์ของ Slipknot แต่ก็ยังจัดว่าเป็นซาวด์แบบงานชุด .5: The Gray Chapter ชุดก่อนหน้า มากกว่าที่จะเป็นงานโคตรทำลายล้างแบบที่ Corey เคยขายไว้ในการให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน


1. สแนร์เปื้อนเลือดของ Jay Weinberg

แต่จากเบาะแสล่าสุดที่ทวิตเตอร์ของ Jay Weinberg มือกลองคนใหม่วัยกระเตาะผู้มารับช่วงต่อจาก Joey Jordison มือกลองตีนผีของวง ก็ทำให้เราเริ่มสัมผัสได้ถึงความโหดของงานใหม่ชุดนี้ เพราะภาพที่เขาทวีตออกมาเป็นภาพสแนร์ที่เต็มไปด้วยเลือด แบบที่ดูแล้วทำให้นึกถึงการฝึกฝนกลองอันเข้มข้นของ Andrew และ Fletcher แห่งภาพยนตร์เรื่อง Whiplash เมื่อปี 2004 ขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้เหล่าสาวกสายหนักแอบหวังขึ้นมากันอีกระลอกว่า ไม่แน่อัลบั้มเต็มลำดับที่หกของ Slipknot อาจสมราคาคุยของ Corey Taylor ก็เป็นได้


2. บทสัมภาษณ์สุดหม่นของ Corey Taylor

ล่าสุดในการสัมภาษณ์กับ Music Week ฟรอนต์แมนคอหนาของเราถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงให้กับ Slipknot และเจ้าตัวก็ตอบไว้ว่า เขาใช้ความมืดมนของชีวิตในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เป็นเชื้อเพลิงในการสร้างผลงานใหม่ให้กับวง Slipknot ในตอนนี้:

“ผมลงรายละเอียดลึกนักไม่ได้หรอกนะครับ เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวผมเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสสำหรับผมมาก ๆ เพราะนอกจากลูก ๆ และวงดนตรีของผมแล้ว เวลาที่เหลือนอกจากนั้นมันมืดมนมาก ๆ ผมไม่ได้ทรุดลงหรืออะไรหรอกนะครับ แต่ไอ้อาการซึมเศร้าและความโกรธที่ผมต้องเผชิญหน้าน่ะมันกัดกิดผมอยู่ ผมจำเป็นต้องเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้นให้ได้ และเนื้อเพลงที่ผมเขียนให้กับอัลบั้มใหม่ของ Slipknot ก็เกี่ยวกับช่วงเวลาเหล่านั้นทั้งหมด ที่จริงแล้วในช่วงห้าปีที่ผ่านมาของชีวิตผม มันเป็นการพยายามทำความเข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง และการมุ่งไปหาความสุขที่ผมยังสามารถจดจำไว้ได้”

และก่อนหน้านี้ไม่นาน Corey เพิ่งให้สัมภาษณ์ในรายการ Zane Low’s World Record ว่างานชุดนี้จะเป็นอัลบั้มที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Slipknot:

“มันจะเป็นหนึ่งในบทที่มืดมนที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของ Slipknot — มันจะออกมาเจ๋งขั้นนั้นเลย มันซับซ้อน มืดมน หนักหน่วง มีเมโลดี้ ดุร้าย เกรี้ยวกราด และมันเป็นของจริง มันเป็นงานที่โคตรสด และมันจะพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมายในช่วงเวลานี้

ซึ่งสำหรับเหล่า Maggots คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะสามารถสร้างสรรค์เพลงให้กับ Corey Taylor ที่กำลังโมโห – จากบทสัมภาษณ์ชิ้นล่าสุดก็ทำให้เริ่มมีแนวโน้มมากขึ้นว่างานชุดใหม่จะออกมาหนักเหมือนที่เจ้าตัวว่าไว้จริง ๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะ ‘หนัก’ ได้ถึงขั้นเดียวกับผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ตัวเองทำไว้ และให้สัมภาษณ์ไว้หรือไม่ อีกไม่กี่เดือนได้พิสูจน์ด้วยหูคุณเองแน่นอนครับ ระหว่างนี้ก็ฟัง “All Out Life” รอกันไปพลาง ๆ เด้อ!

ดราม่า: Ill Niño ปล่อยเพลงพร้อมประกาศไลน์อัพใหม่ ด้านสามสมาชิกเก่าเผย “กูไม่ได้ออก”

$
0
0

เกิดเหตุการณ์โคตรงงขึ้นภายใน Ill Niño วงละตินเมทัลรุ่นใหญ่จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อ Dave Chavarri มือกลองและหนึ่งในสมาชิกยุคก่อตั้งวงได้ออกมาประกาศรายชื่อสมาชิกใหม่ 3 คนในคราวเดียว ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานสมาชิกเก่าของวงทั้งสามคนก็ออกมาให้ข้อมูลว่าพวกเขายังไม่ได้ออก และกำลัง ‘งง’ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


1.
เรื่องนี้เริ่มจากโพสต์ประกาศปล่อยเพลงใหม่ “Sangre” บนเฟซบุ๊กของวงเมื่อวันที่ 18 มกราคม โดยมีการไล่รายชื่อสมาชิกไว้ว่าประกอบไปด้วย 3 สมาชิกเก่า คือ Dave Chavarri มือกลอง Laz Pina มือเบส และ Daniel Cuoto มือเพอร์คัสชัน นอกจากนั้นเป็นสมาชิกใหม่ทั้งหมด ประกอบไปด้วย Marcos Leal นักร้องนำจากวง Shattered Sun, Sal Dominguez อดีตมือกีตาร์ Upon a Burning Body และ Joy Dehoyos มือกีตาร์วง Sons of Texas


2.
ในโพสต์ดังกล่าวเขียนคำอำลาเพื่อนร่วมวงเก่าไว้ด้วยว่า “การอยู่ในวงดนตรีก็เปรียบเสมือนการแต่งงาน และบางครั้งผู้คนก็เติบโตขึ้น และไม่มองหน้ากันอีกต่อไป และการแยกทางกันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราขอให้ Cristian, Ahrue และ Diego เพื่อนสมาชิกเก่าของเราโชคดีในเส้นทางดนตรีของพวกเขาต่อไป”


3.
ด้าน Cristian Machado นักร้องนำ Ahrue Luster และ Diego Verduzco มือกีตาร์ก็งงเป็นไก่ตาแตก ที่วงหายไปไม่ออกเพลงตั้งหลายปี รู้ตัวอีกทีกระเด็นออกจากวงไปแล้ว ซึ่ง Cristian ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อเพลงเมทัลรายใหญ่อย่าง Blabbermouth.net ว่า “ถึงครอบครัว เพื่อน และแฟนเพลงของเรา เรื่องมันตรงกันข้ามกับที่พวกคุณรับรู้ เพราะ Ahrue, Diego และผม ‘ยัง’ ไม่ได้ออกจากวง Ill Niño  และยังยังทุ่มเทให้กับวงและแฟนเพลงไม่ต่างจากเดิม เราตื่นเต้นมากกับการที่จะได้ทำเพลงใหม่ เป็นหุ้นส่วน และได้รับโอกาสใหม่ ๆ และเราจะมีข้อมูลแจ้งพวกคุณเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้”


4.
ข้อมูลจาก Theprp.com ระบุไว้ว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว (2018) ทั้งสามคนได้ยื่นเอกสารในการเป็นเจ้าของร่วมในการใช้ชื่อวง Ill Niño  และก็เป็น Laz Pina มือเบสของวงที่ยื่นเอกสารคัดค้านในสัปดาห์ถัดมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกว่า นี่เป็นการเล่นเกมของ Dave มือกลอง ในการที่จะเทคโอเวอร์ชื่อวงไว้แต่เพียงผู้เดียวทั้งที่วงจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนกันไว้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามคนก็ได้ทำการยื่นคัดค้านเอกสารของ Pina ตามไปอีกทอด (แต่ไม่มีข้อมูลออกมาว่า ณ ตอนนี้ผลจากการยื่นเป็นยังไงต่อ)


5.
ลองฟัง“Sangre” ผลงานจากไลน์อัพใหม่ของวงได้ที่นี่:


6.
ที่หน้า Wikipedia ของวง Ill Niño  ตอนนี้ถือว่าเป็นที่น่าสับสนมาก เพราะในส่วนของรายชื่อสมาชิกปัจจุบัน มีทั้งชื่อของสามสมาชิกใหม่ และสามสมาชิกเก่ารวมกันอยู่ ทำให้ตอนนี้ Ill Niño  ถูกแยกออกเป็นสองวงแล้ว โดยยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมายว่าใครจะได้ครอบครองชื่อวงนี้กันแน่


[ ที่มา – Theprp.com, Blabbermouth.net ]

“ครบรอบ 37 ปีที่ผมกัดหัวไอ้ค้างค้าว***นั่น” – Ozzy Osbourne ขายค้างคาวหัวหลุดเป็นที่ระลึกเหตุการณ์สุดห่าม

$
0
0

หนึ่งในตำนานที่ถูกร่ำลือกันมาตลอดไม่เคยขาดในโลกดนตรีเมทัล ก็คือการที่ Ozzy Osbourne กัดหัวค้างคาวขาดกระจุยระหว่างเล่นคอนเสิร์ต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองดีมอยน์ รัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 20 มกราคมปี ค.ศ. 1982 ซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาให้ข้อมูลภายหลังว่าทำลงไปเพราะนึกว่าค้างคาวเป็นของปลอม ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าไม่ใช่ และค้างคาวตัวดังกล่าวก็ยังมีชีวิต

เพื่อสดุดีเหตุการณ์อันเป็นตำนานในวาระแห่งการครบรอบ 37 ปี เจ้าชายแห่งความมืดของเราเลือกที่จะเฉลิมฉลองให้กับความห่ามของตัวเองด้วยการผลิตตุ๊กตาค้างคาวที่ถอดหัวได้ออกมาขายมันซะเลย โดยเจ้าตัวกล่าวไว้ผ่านทวิตเตอร์ว่า:

“วันนี้เป็นวันครบรอบ 37 ปีที่ผมกัดหัวไอ้ค้างค้าวเหี้ยนั่นขาด! มาร่วมรำลึกไปด้วยกันผ่านไอ้เจ้าตุ๊กตาถอดหัวได้ตัวนี้”

เปิดให้ซื้อผ่าน store.ozzy.com ในราคา 40 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,200 บาทไทย และจากที่ลองกดสั่งซื้อดูเล่น ๆ พบว่า มีค่าจัดส่งมาประเทศไทยอีก 10 ดอลลาร์ ซึ่งรวมแล้วราคาต่อหนึ่งตัวก็ตกที่ราว 1,600 บาท (เรตนี้ ไม่ใช่สาวกที่แท้ทรูก็อย่าเข้าไปกดดูเลยครับ!)

[ ที่มา – Loudwire ]

Metallica เล่นเพลงของ Judas Priest โดยมี Lars Ulrich เป็นนักร้องนำ – ชมคลิป

$
0
0

นอกจากเป็นอดีตนักเทนนิส เป็นมือกลองวงเมทัลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของวงการเพลงเมทัล Lars Ulrich ยังสามารถร้องเพลงได้ด้วย – ที่แชนแนลยูทูบ MetallicaLiveHD มีการอัพโหลดคลิปวิดีโอบรรยากาศในห้องเซ็ตเครื่องดนตรีก่อนขึ้นแสดงคอนเสิร์ตในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ. 2018) ออกมาให้ชมกัน ในระหว่างการตั้งเครื่อง ทางวงมีการแจมเพลงกันเล็กน้อย และระหว่างที่เล่นเพลง “Delivering the Goods” ของวง Judas Priest มือกลองตัวแสบของเราก็รับบทเป็นนักร้องนำในเพลงนี้เอาไว้ด้วย (ชมคลิปได้ที่ท้ายข่าว)

ที่จริง Lars Ulrich เคยเกือบถูกเสนอชื่อให้ขึ้นเป็นนักร้องนำของ Metallica เมื่อนานมาแล้ว เรื่องนี้ Jon “Jonny Z” Zazyla อดีตผู้จัดการวงสมัยก่อนออกอัลบั้มแรก Kill ‘Em All เขาเล่าไว้ในนิตยสาร Metal Hammer ว่าในช่วงเวลานั้น James Hetfield ไม่มั่นใจกับตำแหน่งนักร้องนำเท่าใดนัก และในช่วงเวลาแห่งการถกเถียงดังกล่าว ก็มีการเสนอให้ยก Lars ออกจากกลองชุดเพื่อมาร้องนำแทนด้วย

“Lars กับผมคุยกันไว้หลายเรื่องเลยครับ แต่ James ไม่ได้มีความมั่นใจในฐานะนักร้องมากนัก ผมคิดว่าเขารู้สึกอึดอัดน่ะครับ และในจุดหนึ่งเราก็มาคุยกันเรื่องที่ว่าจะให้ Lars ขึ้นมาเป็นฟรอนต์แมนด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณห้าวินาทีได้”

นอกจาก Lars แล้ว ศิลปินที่เคยถูกคัดมาเป็นตัวเลือกในการนำทัพ Metallica ในวันวานก็มีทั้ง Jess Cox แห่งวง Tygers of Pan Tang, Josh Bush แห่งวง Armored Saint (และ Anthrax) ที่ปฏิเสธข้อเสนอไป

[ ที่มา – Blabbermouth.net, Metal Hammer ]

Fathomless วงเดธคอร์ไทยปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่ “Hell Gate”

$
0
0

ต่อให้ดนตรีกระแสหลักจะหันไปหาความเบาและสดใสมากแค่ไหน ในฟากของซีนเพลงเมทัลก็ยังแข่งกันทำงานเพลงเดือด ๆ โหด ๆ ออกมาประชันกันอย่างไม่ขาดสาย – Fathomless วงเดธคอร์สัญชาติไทยจากค่ายเพลงหัวกล้วย Banana Records ก็เช่นกัน

“Hell Gate” ซิงเกิลล่าสุดของวงสาดความดิบเถื่อนให้เรากันตั้งแต่วินาทีแรกที่กระเดื่องกลองเริ่มขับเคลื่อน ริฟฟ์กีตาร์หน่วง ๆ หนืด ๆ ส่งสัญญาณให้คนฟังโยกหัวตามกันให้คอหลุดไปข้าง ครึ่งแรกของเพลงเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้กันระหว่างท่อนโยกหน่วง ๆ กับท่อนสับเร็ว ๆ ชวนให้เข้าปะทะ ก่อนที่จะมายืนพื้นกันด้วยความเร็วปานกลางอย่างมั่นคงไปตลอดเพลง ใครชอบฟังเดธคอร์สายเบรกดาวน์ได้โยกกันคอหักแน่นอน เครื่องดนตรีทุกชิ้นทำงานร่วมกันได้เข้าขาดี แต่ถ้าจะยกตำแหน่ง MVP ให้ใครซักคนในเพลงนี้ก็ต้องเป็นมือกลองเท่านั้น เพราะซาวด์กระเดื่องพี่เค้าสะใจทุกเม็ด!

ถ้าเป็นคนที่ชอบฟังวงประมาณ Thy Art is Murder, The Acacia Strain น่าจะรับเพลงนี้เข้าไปอยู่ในใจได้ไม่ยาก และถ้าใครอยากสนับสนุนผลงานของวงกันต่อ ก็ไปติดตามกันได้ที่เพจ Fathomless (@fathomlessofficial) และเพจค่าย Banana Records (@BananaRecs)

Hard Chick: LAST IN MY CULT ไอดอลสายพังก์หน้าใหม่ ที่เดโมจัดจ้านจนอยากให้ทำความรู้จักเอาไว้

$
0
0

สำหรับประเทศต้นตำรับของวัฒนธรรมไอดอลอย่างประเทศญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันก็ต้องบอกว่าพัฒนาไปไกลมาก นอกจากวงในเครือ 48, 46 แล้ว ไอดอลที่มาพร้อมกับแนวทางเพลงเลือกก็มีเกิดกันเป็นดอกเห็ด ซึ่งในบรรดาดอกเห็ดที่ผุดขึ้นมา ก็มีหลายกลุ่มที่ตอบโจทย์คนฟังเพลงร็อกหรือเมทัลหนัก ๆ แบบพวกเราชาว Headbangkok ด้วย

วงที่หยิบมาเขียนถึงในวันนี้มีชื่อว่า LAST IN MY CULT กลุ่มไอดอลสายพังก์หกสาวที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีสมาชิกด้วยกันหกคน ประกอบไปด้วย Pera, Momoko, Neko, Roku, Shiei และ Katsuki วงนี้เป็นวงจากค่าย BABYTRACKS (ค่ายเดียวกับวง BLACKNAZARENE)

ตอนนี้ทางวงยังไม่มีเพลงเต็มออกมาให้ฟังกัน แต่ที่แชนแนลยูทูบของต้นสังกัดก็มีการปล่อยตัวอย่างเพลงจากเดโมชุดแรกที่จะออกในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ออกมาให้ฟังกันแล้ว (ฟังได้ที่ท้ายบทความ) ซึ่งจากที่ฟังดูก็สามารถนิยามได้ว่าเป็นไอดอลแนวพังก์จริง ๆ มากับซาวด์กีตาร์ดิบ ๆ กลองสับแหลกแบบตรงไปตรงมา แม้แต่เสียงร้องของเมมเบอร์แต่ละคนก็แสบสันต์เข้ากับเพลงจนรู้สึกว่านี่เป็นวงพังก์จริง ๆ มากกว่าเป็นวงไอดอลยังไงยังงั้น

LAST IN MY CULT จะมีโชว์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ก.พ. (วันเดียวกับที่ปล่อยเดโม) ที่งาน baby’s show vol.3ซึ่งเป็นงานโชว์เคสของค่าย BABYTRACK ที่จะจัดขึ้นที่คลับ MARZ ในย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเราน่าจะมีข้อมูลของกรุ๊ปนี้มาให้ติดตามกันมากขึ้น ระหว่างนี้ก็ไปติดตามวงกันที่ทวิตเตอร์ @LASTINMYCULT กันไปพลาง ๆ ก่อน

หรือถ้าต้องการติดตามสมาชิกแบบรายคน ก็ไปตามลิสต์นี้กันได้ตามสะดวก: @LIMC_Pera, @LIMC_momoko, @LIMC_neko, @LIMC_roku, @LIMC_shiei และ @LIMC_katsuki

[ ที่มา – Straight from Japan ]


ชาวเน็ตไม่พอใจ เทรลเลอร์ Lords of Chaos เปลี่ยนประวัติศาสตร์แบล็กเมทัลเป็นหนังฮิปสเตอร์

$
0
0

ว่าด้วยเรื่องของคำว่า ‘แบล็กเมทัล’ แล้ว สิ่งแรกที่ชูคบเพลิงนำขบวนมาแต่ไกลคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความโหด ความมืดมนอนธการที่ถูกบ่มเพาะผ่านเสียงดนตรีมาหลายทศวรรษ ในซีนดนตรีแนวแบล็กเมทัลมีเรื่องราวพฤโหดเกิดขึ้นมากมายในหลากหลายพื้นที่ แต่เชื่อได้เลยว่า ไม่มีเรื่องราวไหนจะมีความเข้มข้นได้เท่ากับเรื่องราวของดนตรีแนวนี้ในยุคแรกเริ่ม กับดินแดนที่บทเพลงแห่งความดำมืดแนวนี้ได้เกิดขึ้น – ประเทศนอร์เวย์

จากที่บิลด์อารมณ์ด้วยโปสเตอร์และภาพต่าง ๆ ผ่านสื่อออนไลน์มายาวนาน ในที่สุด Lords of Chaos ก็ได้ฤกษ์เผยเทรลเลอร์ความยาว 2:16 นาทีออกมาให้ผู้ที่รอคอยรับชมภาพยนตร์ชีวประวัติดนตรีเรื่องนี้ได้รับชมกันแล้ว


จากคลิปเทรลเลอร์ดังกล่าว มีชาวเน็ตหลายส่วนออกมาแสดงความไม่พอใจกับบรรยากาศ หรือมูดแอนด์โทนของเรื่อง เนื่องจากมีความเป็นหนังอินดี้วัยรุ่นแนว coming of age มากกว่าที่จะเป็นการเล่าถึงจุดกำเนิดอันมืดดำของซีนดนตรีแบล็กเมทัลแห่งประเทศอันหนาวเหน็บ

ผู้ใช้ยูทูบชื่อ amonameghann57 แสดงความเห็นไว้ว่า “นี่มันน่าอายมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามที่จะทำให้มันออกมาเป็นพวกหนังอินดี้ตามกระแสที่เล่าเรื่องราวการเจริญเติบโตของเด็กวัยรุ่นยังไงยังงั้นเนอะ การแคสต์นักแสดงก็แย่มากด้วย Rory Culkin ก็ดูเหมือน Fenriz ตอนหนุ่มมากกว่า Euronymous ซะอีก ส่วน Emory Cohen ก็ไม่มีอะไรที่เหมือน Varg เลย แล้วทำไมพวกเขาถึงพูดสำเนียงอเมริกัน? ฉันหวังที่จะได้เห็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่จริงจัง แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าพวกเขาต้องการทำให้มันหวานขึ้นต่างหาก อยากรู้จริง ๆ ว่า Varg ตัวจริงจะว่ายังไง”

ส่วน Raz Rojas B ก็แสดงความเห็นอย่างหัวเสียว่า “โห นี่แม่งน่าอายโคตร ๆ ! เอาจริงดิวะ? ปาร์ตี้เนี่ยนะ? สาว? ชื่อเสียงและความเป็นทิ่นิยม? พวกนี้ต่อต้านความฝันแบบร็อกสตาร์ต่างหากโว้ย! มันไม่เคยเป็นเรื่องของความสนุกเลย มันคือการสร้างอะไรบางอย่างที่สุดโต่งที่สุดเพื่องานศิลปะของพวกเขา นี่แม่งโคตรขยะ! พวกเขาสร้าง Euronymous ออกมาเป็นเด็กวัยรุ่นผู้มีความสุขที่ตกเป็นเหยื่อของปิศาจร้ายอย่าง Varg เนี่ยนะ ผมไม่ได้จะปกป้อง Varg นะครับ เขาเป็นคนบ้าแน่นอน แต่ฟังที่ Euronymous พูดเหมือนเขาคือไอ้โง่ที่สุดที่คุณเคยเห็นมานั่นสิ! ทำไมพวกเขาถึงสร้างเรื่องนี้ขึ้นมากับบรรยากาศแบบหนังวัยรุ่นกาก ๆ เนี่ย? คนที่ต้องการจะรู้เกี่ยวกับแบล็กเมทัลและสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าจะอายุ 40 กันหมดแล้ว ขนาดผมที่เห็นหน้าใหม่ที่ชอบแนวนี้ยังอายุเกือบ 30 แล้วเลย”

ส่วน Garfieldfag พิมพ์แค่สั้น ๆ ว่า “ต้องรอนานแค่ไหนไอ้ Varg ถึงจะถ่อไปอเมริกาแล้วฆ่าทีมงานและนักแสดงทั้งหมดเพื่อปกป้องตนเอง?”

แต่คนที่ไม่ได้มองว่าเทรลเลอร์เรื่องนี้ทำออกมาเลวร้ายนักก็มีเช่นกัน Daphne-Zawadi F. แสดงความเห็นสวนกระแสไว้ว่า “พวก อย่าลืมสิว่าแท็กไลน์ของเรื่องนี้มันเขียนไว้ว่า ‘สร้างขึ้นจากเรื่องจริงและเรื่องลวง’ มันไม่ได้เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่แม่นยำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันอ้างอิงจากสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ในหนังสือตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งทำให้มันโรแมนติกขึ้น ถูกปรับเปลี่ยนไปจากความจริง ถูกตีความไปแบบผิด ๆ ฯลฯ เพราะงั้นสำหรับผม ผมก็จะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะที่มันเป็นหนัง และจะตัดสินมันในฐานะผลงานภาพยนตร์ชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งครับ”


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าลืมว่าเราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากหน้าปกได้ ต้องมารอดูกันตอนหนังฉายจริงว่าจะเป็นไปตามที่เทรลเลอร์นำทางไว้ หรือออกมาจริงจังกว่านั้น แต่สำหรับตอนนี้ ถ้าต้องให้คะแนนก็ให้ได้แค่ 2.5/5 เท่านั้นครับผม!

Album Review: “Origins” โดย Imagine Dragons – ทำได้ดีในทุก ๆ แนว แต่เต็มไปด้วยความกระจัดกระจาย

$
0
0

ช่วงปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในวงการเพลงร็อกกระแสหลักคือ คนหันมาด่า Imagine Dragons วงป๊อปร็อกจากนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา กันแทน Nickelback วงร็อกรุ่นใหญ่จากประเทศแคนาดาที่คนในวงการเพลงมักยกขึ้นมาล้อเลียนในความซ้ำซากของผลงานอยู่เสมอ ๆ

ล่าสุด Gary Holts มือกีตาร์ Slayer (อดีตขุนขวานตัวหลักของวง Exodus) ก็เพิ่งออกมาบอกว่า หลังจากได้รับชมการแสดงสดของพวกเขาผ่านทางทีวีก็รู้สึกว่าเป็นวงดนตรีที่ห่วยแตกที่สุดในโลก แต่ด้วยทัศนคติที่ไม่สู้ดีนัก ปัจจุบันโพสต์ดังกล่าวก็ถูกลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แล้ว Imagine Dragons ห่วยแบบที่ว่าจริงหรือเปล่า? สำหรับคนฟังเพลงร็อกหนัก ๆ ก็อาจเป็นไปได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำผลงานขึ้นมาเสิร์ฟคนเหล่านั้น แต่ถ้าเป็นโลกดนตรีกระแสหลัก มังกรมโนวงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งกว่าวงดนตรีไหน ๆ ในยุคเดียวกัน เพลง “Radioactive” ซึ่งถือเป็นเพลงชาติ (anthem) ของวง สามารถอยู่บนชาร์ตเพลงได้ยาวนานถึง 87 สัปดาห์ และอัลบั้มแรกอย่าง Night Visions ก็มียอดขายฮิตติดชาร์ตเพลงอยู่ถึงห้าปี

เวลาผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาจนถึงอัลบั้มที่สี่ที่ใช้ชื่อสั้นเรียกง่าย จำได้ในสามวินาที ว่า Origins

ดูกันที่สถิติยอดขายในสัปดาห์เปิดตัว พวกเขายังสามารถเปิดตัวด้วยตำแหน่งเลขหลักเดียวในชาร์ตเพลงหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ แต่ในแง่ของการสร้างผลงาน ก็ต้องนับว่า Origins มีความ ‘เละเทะ’ ประกอบอยู่ไม่น้อย ไม่ได้จะบอกว่าเพลงในอัลบั้มนี้ไม่ดีนะครับ เพราะเพลงอย่าง “Natural”, “Bad Liar” หรือ “Machine” ซิงเกิลที่ถูกหยิบมาโปรโมตก็ยังคงลายเซ็นป๊อปร็อกทันสมัยที่ชวนให้ฮึกเหิมและมาพร้อมกับท่อนฮุกแข็งแรง เหมาะสำหรับเล่นคอนเสิร์ตระดับสเตเดียม ไม่ต่างจากเพลงฮิตเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มก่อนหน้า

ทว่า แนวทางการทำดนตรีในอัลบั้มนี้มันกระจัดกระจายมาก ๆ

พอเปิดมาถึงเพลงที่สองอย่าง “Boomerang” เรากลับคิดว่ามันร็อกน้อยลงและมีกลิ่นอายแบบ The Chainsmoker มากขึ้น ตอนที่ฟังอัลบั้มนี้ผ่านไปแค่สองเพลงจะยังไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะเป็นไปได้ว่า นี่อาจเป็นแค่การเปลี่ยนอารมณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในอัลบั้ม แต่พอตะลุยผ่าน Origins ไปทั้งหมดก็พบว่ามีความฉีกไปแบบไร้ทิศทางอยู่ไม่น้อย

เพราะเราเจอเพลงหลายแนวเกินไปในอัลบั้มนี้ ทั้งซาวด์ดรัมแอนด์เบสลุย ๆ ในเพลง “Digital” หรือดนตรีกลิ่นอายโซลหนักแน่นในเพลงอย่าง “Stuck” กับ “Cool Out” เป็นต้น ไหนจะซาวด์ดนตรีแบบอินดี้รุ่นใหม่ในเพลง “Only” และซาวด์คันทรี่ในเพลง “West Coast” ที่ฟังแล้วชวนให้นึกถึงเพลง “Wake Me Up” ของ AVICII หรือวงอย่าง Mumford and Sons นั่นอีก แม้ Dan Reynolds และสหายในวง Imagine Dragons จะทำเพลงออกมาได้ดีในทุกแนวที่ทำออกมา แต่เรากลับหาความเข้ากันในงานชุด Origins แทบไมได้เลย – การทำเพลงเป็นอัลบั้ม ไม่ใช่แค่การนำเพลงที่ดีมารวมกัน แต่ความต่อเนื่องของอารมณ์ก็สำคัญไม่น้อยนะครับ!

หากมองแบบภาพรวม Origins อาจเป็นอัลบั้มรวมการ ‘ทดลองทำอะไรใหม่ ๆ’ ของวง Imagine Dragons ที่พยายามฉีกออกจากสูตรสำเร็จของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันกลับกลายเป็นว่า ด้วยความที่งานมันหลากหลายเกินไป ก็ทำให้อัลบั้มนี่ไม่มีแกนที่แข็งแรงพอจะชูเป็นจุดขายจริง ๆ ได้เหมือนผลงานของพวกเขาในหลายปีที่ผ่านมา แต่ดูจากเนื้อเพลงแล้ว Dan และสหายน่าจะพร้อมสำหรับคำวิจารณ์ที่ชาวโลกเตรียมประเคนให้มาดีระดับหนึ่งเลย เพราะในเพลง “Bullet in a Gun” ท่อนเวิร์สที่สอง เจ้าตัวบอกเอาไว้เองเลยว่า ‘ชื่อเสียงมันมีราคาที่เราต้องจ่าย’

“To make a name, you pay the price
You give your life, no other way
The devil’s deal, it comes around
To wear the crown, rise up from the ground”

แต่หากให้สรุป งานชุดนี้เหมาะสำหรับสาวกของวงแน่นอน แต่สำหรับแฟนเพลงขาจรที่อยากรู้จักกับ Imagine Dragons จริง ๆ เราคิดว่าควรจะเริ่มต้นที่อัลบั้มอื่น ๆ มากกว่า หรือถ้าสนใจจะเริ่มที่อัลบั้มนี้จริง ๆ ก็ต้องขอแนะนำให้แยกซิงเกิลโปรโมตที่เป็น stadium rock anthem ออกมาฟังแยก เพื่อทำความรู้จักกับ core ของวงก่อน แล้วค่อยขยายไปฟังเพลงอื่น ๆ ที่ทางวงทดลองทำออกมาในภายหลัง

Origins วางจำหน่ายตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา สำหรับในประเทศไทย จัดจำหน่ายโดย Universal Music Thailand หาซื้อได้ตามร้านซีดีชั้นนำทั่วไป

ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง! Spotify เตรียมเพิ่มฟีเจอร์บล็อกศิลปินที่ไม่ชอบให้หายเรียบ

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จุดขายอย่างหนึ่งที่ทำให้ Spotify เหนือกว่าบริการสตรีมเพลงออนไลน์เจ้าอื่น ๆ ก็คือระบบคัดเลือกเพลย์ลิสต์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ฟังมาก ๆ – และเจ้าเพลย์ลิสต์ตัวนี้กำลังจะยิ่งเอาใจผู้ใช้งานมากขึ้น ด้วยการเปิดให้เรา ‘บล็อก’ ศิลปินที่ไม่ชอบออกไปจากสารบบของเพลย์ลิสต์ได้

ฟีเจอร์ใหม่ของ Spotify ตัวนี้มีชื่อว่า “Don’t play this artist” ซึ่งเมื่อตั้งค่าให้กับศิลปินคน/กลุ่มไหนก็ตาม ผลงานของพวกเขาทั้งหมดจะหายไปจากสารบบของบัญชี Spotify ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเพลงเดี่ยว อัลบั้ม เพลงที่ปรากฎในเพลย์ลิสต์ ชาร์ตเพลง หรือแม้แต่ในสถานีวิทยุของ Spotify เอง แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่หนึ่งเรื่องคือหากศิลปินคนที่เราบล็อกไปร่วมแจมเป็นแขกรับเชิญกับศิลปินกลุ่มอื่น ทาง Spotify จะไม่บล็อกให้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ทาง Spotify เคยตอบกระทู้ของผู้ใช้งานที่เรียกร้องให้มีการเพิ่มฟีเจอร์นี้เข้าไปว่า หลังจากที่พวกเขาพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนจริงจัง พวกเขาเลือกที่จะไม่เพิ่มฟีเจอร์นี้เข้าไปให้กับผู้ใช้งาน แต่ก็ไม่ได้ตอกตะปูปิดตายไว้เสียทีเดียวเพราะในการตอบกระทู้ดังกล่าวมีคำว่า ‘at this time’ หรือ ณ ช่วงเวลานี้ รวมอยู่ด้วย ซึ่งจากข่าวนี้ก็คงพอจะสรุปได้ว่า ‘ช่วงเวลา’ ดังกล่าวได้ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ทาง Spotify ได้รับการกดดันจากกลุ่มผู้ประท้วง #MuteRKelly ให้ถอนผลงานของศิลปินอาร์แอนด์บีชื่อดังคนนี้ออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากเขามีข่าวเสียหายรุนแรงเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งทาง Spotify ก็ตอบรับด้วยการถอดเพลงออกจากเพลย์ลิสต์ที่ใช้โปรโมตทั้งหมด และทาง Apple Music กับ Pandora ก็เดินหน้าถอดเพลงของเจ้าตัวออกจากเพลย์ลิสต์เช่นเดียวกัน (แต่ว่ายังมีส่วนที่เป็นโปรไฟล์ศิลปินให้เข้าไปกดฟังได้อยู่เหมือนเดิม) – นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทางบริษัทฯ หันกลับมาสนใจฟีเจอร์นี้อีกครั้งก็เป็นได้

ในเว็บไซต์ The Verge ระบุไว้ว่าทาง Spotify ปล่อยฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้งานแอปในระบบ iOS ได้ทดลองใช้กันแล้ว แต่ของผู้เขียนยังไม่มี คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงสุ่มทดลอง ใครมีไว้ในครอบครองแล้วก็บอกกันได้ครับว่าใช้ดีมั้ย และมันจำเป็นแค่ไหนกับการต้องตัดศิลปินที่เราไม่ชอบออกจากเพลย์ลิสต์ที่เราไม่ได้เป็นคนเลือก!

[ ที่มา – The Verge ]

Mick Thomson แห่ง Slipknot เกลียดอัลบั้มปกดำของ Metallica “ผมรู้สึกเหมือนโดนดูถูก”

$
0
0

ถ้าใครเคยซื้อนิตยสาร Metal Hammer ของอังกฤษอ่าน น่าจะคุ้นกันดีกับคอลัมน์ที่ชวนศิลปินมาเล่าให้ฟังว่า 10 อัลบั้มที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาลคือผลงานชุดใดของใครบ้าง ล่าสุดที่เว็บไซต์ของนิตยสารค้อนเหล็กก็มีการตีพิมพ์เนื้อหาจากฉบับเมื่อเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2015 ที่ Mick Thomson มือกีตาร์ของวงเคยเล่าเอาไว้ออกมาให้เราได้อ่านกันอีกครั้ง (สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อ?)

มีผลงานหลายชุดที่น่าสนใจ เช่น Destroyer ของวง KISS ที่เจ้าตัวล่าว่าเป็นแผ่นเสียงแผ่นแรกที่ได้มาครอบครองแบบไม่ต้องแบ่งกันกับพี่ชาย หรืออัลบั้ม Envenomed ของวง Malevelent Creation ที่ Phil ฟรอนต์แมนของวงเปิดให้ฟังในรถตั้งแต่ก่อนวางจำหน่าย และเพลงในงานชุดนี้ก็เดือดจนพวกเขาขับรถซิ่งไปชนรถคันข้างหน้า เป็นต้น

ในลำดับสุดท้าย Mick เลือก self-titled album ของวง Metallica ที่เรารู้จักกันในชื่อ อัลบั้มปกดำ ขึ้นมา ทว่า เขาไม่ได้หยิบขึ้นมาเพื่อเขียนชมราชาแห่งแทรชเมทัลจากแคลิฟอร์เนียวงนี้ เพราะ Mick ร่ายยาวเอาไว้ว่า:

“ผมเข้าใจดีครับ เพราะตอนนี้ผมก็อยู่ในวงดนตรีด้วย คุณจำเป็นที่จะต้องไม่ทำผลงานที่มันซ้ำซากออกมา ไม่งั้นคุณก็จะต้องทนเบื่อกับมัน ผมชอบงานสี่อัลบั้มแรกของพวกเขามากนะครับ แต่ผมรู้สึกแย่เอาซะมาก ๆ ตอนที่ได้ฟังอัลบั้มปกดำเนี่ย ผมรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แล้วก็ไม่เปิดฟังไปหลายปีเลยครับ แต่ก็เลิกทำแบบนั้นไปแล้วแหละ มันมีความเหมือนในการที่วง Slipknot เปลี่ยนแปลงไปมั้ยน่ะเหรอ? ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า ผมไม่เคยตัดผมตัวเองให้สั้นลงเลย”

อัลบั้ม Metallica ที่ปล่อยออกมาในปี 1991 นับว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของวง Metallica และของวงการเพลงเมทัลด้วย เพราะในยุคปัจจุบัน ผลงานชุดนี้ก็ยังทำยอดขายได้มากกว่าศิลปินหน้าใหม่ ๆ บนชาร์ตเพลงหลายต่อหลายวง

ความแตกต่างระหว่างงานชุดนี้กับผลงานสี่ชุดก่อนหน้าของ Metallica ก็คือ พวกเขาหยุดใช้บริการของโปรดิวซ์ของ Flemming Rasmussen แล้วมาใช้ Bob Rock แทน ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแนวจากแทรชเมทัลหนัก ๆ ลุย ๆ มาเป็นเพลงเฮฟวีเมทัล-ฮาร์ดร็อกแทน หลายเพลงในอัลบั้มนี้กลายเป็นผลงานสุดคลาสสิกระดับขึ้นหิ้งไปแล้ว เช่น “Enter Sandman”, “The Unforgiven”, “Nothing Else Matter”, “Sad But True”

และหลังจากผลงานลำดับที่ห้าเป็นต้นมา Metallica ก็ไม่เคยผลิตผลงานอัลบั้มที่ดีเทียบเท่าหรือมากกว่านี้ได้อีกเลย อย่างน้อยก็ในสายตาแฟนเพลงเดนตายของพวกเขา

[ ที่มา – Louder ]

ป๊อปจัด ไม่ต้องรอปลัดบอก – Bring Me the Horizon เปิดตัวอีกหนึ่งซิงเกิลใหม่ “mother tongue”

$
0
0

จากเพลง medicine ที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการพลิกผันแนวทางจากวงร็อกหนัก ๆ มากลายเป็นวงป๊อปร็อกใส ๆ – Bring Me the Horizon ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะกับซิงเกิลใหม่ “mother tongue” พวกเขาดันความป๊อปของวงไปแบบสุดทางยิ่งกว่า

“mother tongue” มาในกลิ่นอายป๊อปเข้มข้น ขับเคลื่อนได้เปียโนและซาวด์อิเล็กทรอนิกสดใสแบบที่ฟังแล้วชวนให้นึกถึง The Chainsmokers ขึ้นมาแทบจะในทันที แน่นอนว่าเพลงนี้เป็นเพลงรัก

Oliver Sykes นักร้องนำของวงให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเพลงนี้ไว้ในรายการ Zane Lowe’s World Record ตอนที่เปิดตัวเพลงนี้ออกมาว่า เขาแต่งเพลงนี้ให้ภรรยาคนปัจจุบัน เธอคนนั้นมาจากประเทศบราซิล และช่วงแรกของความสัมพันธ์ ฝ่ายหญิงไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องนัก แต่ก็สามารถใช้ใจในการตกหลุมรักกันได้ (นั่นคือที่มาของชื่อเพลง ว่าทำไมถึงใช้ชื่อว่า ‘ภาษาแม่’):

“เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่สดใสที่สุดแล้วครับ เป็นเพลงรักที่ตรงไปตรงมาที่สุดที่พวกเราเคยแต่งขึ้นมา เพลงนี้แต่งง่ายกว่าเพลงอื่น เพราะมันเป็นเพลงที่มีความหมายในแง่บวก เป็นเรื่องราวตอนที่ผมได้พบกับภรรยาคนใหม่ เธอมาจากประเทศบราซิล และเธอไม่ได้พูดภาษาอังกฤษคล่องนัก เธอใช้ภาษาโปรตุเกสได้ดีกว่าผมเยอะเลยแหละ แต่จากจุดเริ่มต้นนั้น เราก็เชื่อมต่อถึงกันได้อย่างแน่นแฟ้น และมันก็เป็นช่วงเวลาที่บ้ามาก ๆ ด้วย และเพลงนี้มันก็พูดถึงประสบการณ์เหล่านั้น ซึ่งมันติดอยู่ในหัวผมมาตลอด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเพลงนี้ถือแต่งขึ้นมาได้ง่ายกว่าครับ”

ฟัง “mother tongue”:

amo อัลบั้มเต็มชุดที่หกของ Bring Me the Horizon จะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 25 มกราคมนี้

Viewing all 6406 articles
Browse latest View live