Quantcast
Channel: Headbangkok
Viewing all 6406 articles
Browse latest View live

Terrorizer ยืนยัน: Brian Johnson กลับมาร่วมวง AC/DC แล้ว

$
0
0

เมื่อปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา มีข่าวลือว่า AC/DC กลับเข้าสตูดิโอไปทำอัลบั้มใหม่ และได้ Brian Johnson กลับมารับหน้าที่เป็นนักร้องนำให้อีกครั้ง ล่าสุดที่สเตตัสขอบคุณแฟนเพลงหลังจบทัวร์ของ Terrorizer วงไกรนด์คอร์จากสหรัฐอเมริกาก็ออกมาให้ข้อมูลว่า Brian บอกกับพวกเขาด้วยตัวเองว่ากลับมาอยู่กับ AC/DC แล้ว

ในโพสต์ดังกล่าว Terrorizer ระบุปิดท้ายสเตตัสขอบคุณแฟนเพลงและทีมงานว่า:

“วันนี้ตอนขากลับ พวกเราได้เจอ Brian Johnson วง AC/DC ที่สนามบินด้วยครับ พวกเราถามเขาเกี่ยวกับข่าวลือว่าเขาทำอัลบั้มใหม่กับ AC/DC อยู่หรือเปล่า แล้วเขาก็บอกว่า ‘ใช่ ‘ และเขาก็ ‘เบื่อกับการต้องปฏิเสธเรื่องนี้’ แล้วด้วย เป็นการปิดทัวร์ที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ ครับ”

Brian ยุติการทัวร์กับวงแบบไม่มีกำหนดตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากเขาเสี่ยงต่อการหูหนวกถาวรหากยังพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง และคนที่เข้ามาทำหน้าที่พาเพื่อนร่วมวงออกแจกจ่ายความร็อกให้สาวกทั่วโลกกันก็คือ Axl Rose นักร้องนำวง Guns N’ Roses ซึ่งหลังจากจบทัวร์ครั้งล่าสุด Cliff Williams ก็ขอเกษียณตัวเองออกจากการเป็นมือเบสให้กับวง

สำหรับสมาชิกคนอื่นที่คาดว่าน่าจะอยู่ในวงด้วยในตอนนี้ได้แก่ Angus Young มือกีตาร์ผู้ก่อตั้งวง Stevie Young หลานชายของ Malcolm Young ผู้ล่วงลับ และ Phil Rudd มือกลองตัวจริงที่ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในประเทศนิวซีแลนด์เนื่องจากมีคดีขู่ฆ่าติดตัวอยู่

หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบในภายหลัง กดติดตามและติดดาว Headbangkok บนเฟซบุ๊กได้ที่ facebook.com/headbangkok


[ ที่มา – Loudwire ]


New Found Glory จะออกอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงประกอบหนังอีกชุดในปีนี้

$
0
0

เมื่อพูดถึงวงป๊อปพังก์ขวัญใจมหาชนอย่าง New Found Glory สิ่งที่หลาย ๆ คนนึกถึงน่าจะหนีไม่พ้นอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์ From the Screen to Your Stereo ทั้งสองชุด ข่าวดีก็คือ ในปี 2019 นี้จะมีอัลบั้มซีรีส์นี้ชุดที่สามออกมา! และมีการเปิดเผยรายชื่อเพลงทั้งหมดออกมาแล้ว ได้แก่

  1. “Cups” จาก Pitch Perfect
  2. “This is Me” จาก The Greatest Showman
  3. “The Power of Love” จาก Back to the Future
  4. “Let It Go” จาก Frozen
  5. “Accidentally in Love” จาก Shrek
  6. “A Thousand Years” จาก Twilight
  7. “Eye of the Tiger” จาก Rocky 3

และทางวงก็ประกาศทัวร์เพื่อนำเพลงจากอัลบั้มคัฟเวอร์มาเล่นกันเน้น ๆ ด้วย โดยมีวง Real Friends, The Early November และ Doll Skin ร่วมเดินทางไปด้วยกัน (น่าอิจฉาแฟนคลับที่เมืองนอกเมืองนาเค้าจริง ๆ)

ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องวันวางจำหน่ายและปกอัลบั้มออกมา หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมจะนำมารายงานให้ทราบกันในภายหลัง

ในระหว่างนี้คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารอื่น ๆ ในวงการเพลงร็อก-เมทัลเพิ่มเติมกันได้ที่เพจ Headbangkok บนเฟซบุ๊ก facebook.com/headbangkok


[ ที่มา – Rock Sound Magazine ]

3 กุมภาพันธ์: รำลึก 60 ปี “วันที่ดนตรีถึงแก่กรรม”

$
0
0

สำหรับแฟนหนัง ชื่อ American Pie คงทำให้หลายคนนึกถึงหนังตลกวัยรุ่นยุค 90 แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว “American Pie” คือเพลงดังปี 1971 ของ Don McLean เล่าถึงโศกนาฏกรรมเมื่อครั้งที่ Buddy Holly, Ritchie Valens และ J. P. “The Big Bopper” Richardson 3 ศิลปินร็อกแอนด์โรลดาวรุ่งของสหรัฐฯ ต้องเสียชีวิตพร้อมกัน จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปี 1959 การที่ Don McLean นิยามเหตุการณ์นั้นเปรียบดั่ง The day the music died ทำให้ “วันที่ดนตรีถึงแก่กรรม” กลายเป็นคำที่ผู้คนใช้รำลึกถึงการสูญเสียดังกล่าวมานับแต่นั้น

(หมายเหตุ – เหตุผลที่ Don McLean ตั้งชื่อเพลงว่า American Pie เพราะเชื่อกันว่าเครื่องบินรุ่น Beechcraft Bonanza ลำที่เกิดอุบัติเหตุ ถูกตั้งฉายาด้วยชื่อดังกล่าว แต่ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่า เคยมีการตั้งชื่อให้กับเครื่องบินมรณะลำนั้นแต่อย่างใด)


1959: Twilight of Rock & Roll (สนธยาแห่งร็อกแอนด์โรล)

ปี 1959 นับเป็นปีที่วงการดนตรีร็อกแอนด์โรลเข้าสู่ช่วงขาลง เนื่องจากศิลปินตัวหลักมีอันต้องระงับงานเพลงพร้อม ๆ กัน จากปัจจัยที่หลากหลาย โดย Elvis Presley กำลังอยู่ในระหว่างการเกณฑ์ทหาร, Little Richard ต้นแบบศิลปินแกลม ร็อก หันหลังให้วงการเพลงเพื่อไปเป็นนักเทศน์, Jerry Lee Lewis นักเปียโนเจ้าของฉายา The Killer กำลังถูกแบนจากสถานีวิทยุ เพราะถูกสังคมประณามจากการแต่งงานกับญาติ ที่เป็นเพียงเด็กสาววัย 13 ปี
ส่วนช่วงปลายปี Chuck Berry มือกีตาร์ผู้เป็นบิดาแห่งร็อกแอนด์โรล ยังมาโดนจับกุม ก่อนได้รับโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหาลักพาตัวและพรากผู้เยาว์เด็กสาววัย 14 ปี

วิบากกรรมของศิลปินรุ่นพี่ น่าจะทำให้ปี 1959 เป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Buddy Holly นักร้อง-นักแต่งเพลงวัย 22 ปี ได้มีโอกาสจรัสแสงอย่างเต็มที่ เนื่องจากร็อกสตาร์ดาวรุ่งผู้นี้ เพิ่งจะแยกทางกับ The Crickets วงดังของเขา และกำลังเดินหน้าแจ้งเกิดในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว

เพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า Buddy Holly ตอบรับการเป็นเฮดไลน์เนอร์ให้กับ Winter Dance Party ทัวร์คอนเสิร์ตหฤโหด 24 วัน ใน 24 เมือง Midwest ของสหรัฐฯ โดยการแสดงรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 23 มกราคม และไปสิ้นสุดในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งระหว่างนั้น ยังเป็นช่วงที่หลายเมืองในสหรัฐคงปกคลุมไปด้วยหิมะ

เมื่อแยกทางกับวง The Crickets แล้ว Buddy Holly จึงต้องฟอร์มวงขึ้นมาใหม่ สมาชิกหน้าใหม่ประกอบไปด้วย Waylon Jennings (เบส), Tommy Allsup (กีตาร์) และ Carl Bunch (กลอง) ศิลปินร่วมทัวร์ครั้งนั้นยังมีทั้ง Ritchie Valens ร็อกเกอร์หนุ่มวัย 17 ปี เจ้าของเพลง “La Bamba” อันโด่งดัง, J. P. Richardson ดีเจและนักร้องเจ้าของเพลงร็อกแอนด์โรลอมตะ Chantilly Lace ส่วน Dion DiMucciกับวง The Belmonts คือศิลปินที่มาร่วมทัวร์เป็นรายสุดท้าย


Tour from Hell (ทัวร์จากนรก)

ปัจจุบัน การจัดทัวร์คอนเสิร์ตถือเป็นธุรกิจมูลค่านับพันล้าน การจัดตารางทัวร์แต่ละครั้ง ผู้จัดงานจำเป็นต้องวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อลดช่วงเวลาของการเดินทาง และลดต้นทุนของการขนย้ายอุปกรณ์ แต่ในปี 1959 แนวคิดดังกล่าวยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับ General Artists Corporation โปรโมเตอร์งาน Winter Dance Party ที่เลือกวันจัดแสดงโดยไม่คำนึงถึงระยะทางและเวลาที่ใช้ในการเดินทาง การจัดตารางทัวร์แบบขอไปที ทำให้ศิลปินกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาเดินทางระหว่างงาน 2 ที่ เป็นระยะทางไปต่ำกว่าวันละ 300 ถึง 400 กิโลเมตร

ที่แย่เสียยิ่งกว่า คือพาหนะที่ใช้ในการเดินทางตลอดทั้งทัวร์ ซึ่งก็คือรถบัสที่ดัดแปลงมาจากรถรับส่งนักเรียนเพียงคันเดียว โดยนักดนตรีต้องทำหน้าที่เคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเครื่องดนตรีด้วยตนเอง ซ้ำร้ายเครื่องทำความร้อนในรถยังเสียบ่อยครั้ง การเดินทางท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกตั้งแต่ 0 องศา จนถึง – 30 องศา ในช่วงฤดูหนาวของแถบ Midwest ทำให้ Ritchie Valens และ J. P. Richardson ป่วยเป็นไข้หวัด ส่วน Carl Bunch มือกลองของ Buddy Holly ต้องถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษาอาการหิมะกัดเท้า ภาระจึงตกอยู่ที่มือกลองของวง The Belmonts ที่ต้องรับหน้าที่มือกลองจำเป็นให้กับ Buddy Holly และเมื่อถึงคราวที่ Dion DiMucci กับวง The Belmonts ขึ้นแสดง Buddy Holly และ Ritchie Valens ก็ต้องสลับกันทำหน้าที่มือกลองให้กับพวกเขาอย่างทุลักทุเล

มาถึงตอนนี้ Buddy Holly จึงเริ่มมีความคิดว่า การเดินทางด้วยรถบัสอยู่อย่างนี้อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เขาจึงติดต่อไปยัง Dwyer Flying Service บริษัทให้เช่าเครื่องบินขนาดเล็ก เพื่อขอเช่าเครื่องบินที่จะช่วยให้เขาและสมาชิกในวง ได้ลดเวลาการแก่วอยู่บนถนน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัว, พักผ่อน และจัดการกับเสื้อผ้าที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวัน นับตั้งแต่ทัวร์เริ่มต้น


Last Live (คอนเสิร์ตสุดท้าย)

โชว์สุดท้ายก่อนเที่ยวบินมรณะ จัดขึ้นที่ Surf Ballroom เมืองเคลียร์เลก รัฐไอโอวา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี 1959 แต่เดิมโชว์นี้ไม่อยู่ในตารางทัวร์ แต่ General Artists Corporation เห็นว่ายังมีวันว่างเหลืออยู่ในตาราง เลยเพิ่มการแสดงเข้าไปอีกรอบ แม้จะเป็นคืนวันจันทร์ แต่บัตรการแสดงทั้ง 2 รอบก็ถูกแฟนเพลงกว้านซื้อไปจนหมด แฟนเพลงวัยรุ่น 1,100 รายที่อยู่ในฮอลล์ต่างเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ขณะที่หิมะด้านนอกสถานที่จัดงานเริ่มโปรยปรายลงมาเงียบ ๆ การแสดงไปจบในเวลาประมาณเที่ยงคืน แฟนเพลงแยกย้ายกลับบ้าน ส่วนศิลปินก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่รอพวกเขาอยู่ในคืนนั้น


The Sky Belongs to the Stars (ท้องฟ้าคือที่สถิตของดารา)

เครื่องบินที่จะนำ Buddy Holly และคณะไปยังจุดหมายต่อไปได้แก่ Beechcraft Bonanza เครื่องบินรุ่นปี 1947 ขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่ง Buddy Holly เช่ามาด้วยราคา 108 ดอลลาร์ โดยเขาจะหาร 3 กับเพื่อนร่วมทางอีก 2 คน ตกเป็นเงินคนละ 36 ดอลลาร์

แต่เดิมคนที่จะร่วมบินไปกับเขาได้แก่ 2 เพื่อนร่วมวงอย่าง Waylon Jennings มือเบส และ Tommy Allsup มือกีตาร์ แต่มีการเปลี่ยนตัวผู้โดยสารภายหลัง เมื่อ J. P. Richardson นักร้องวัย 28 ปี กำลังป่วยเป็นไข้หวัด เขาจึงขอแลกที่นั่งกับ Waylon Jennings ส่วน Ritchie Valens หนุ่มน้อยซูเปอร์สตาร์ ที่เคยกลัวการขึ้นเครื่องบิน กลับนึกสนุกอยากลองบินเที่ยวนี้ เลยขอเสี่ยงโชคด้วยการโยนเหรียญแลกที่นั่งกับ Tommy Allsup หนุ่มน้อยเลือกหัว ซึ่งเหรียญก็ออกหัวตามที่เขาปราถนา ก่อนขึ้นเครื่อง Ritchie Valens กล่าวอย่างดีใจเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ผมไม่เคยเสี่ยงเหรียญชนะใครมาก่อนเลย”

เมื่อรู้ว่าไม่มีเพื่อนร่วมวงคนไหนร่วมบินไปกับเขาเลย Buddy Holly ก็แซวว่า “ขอให้รถบัสเส็งเคร็งของพวกแกเย็นเป็นน้ำแข็ง” ทำให้ Waylon Jennings แซวกลับไปบ้างว่า “ขอให้เครื่องบินเส็งเคร็งของแกตกแล้วกัน” โดย Waylon Jennings ไม่ทันคิดว่า มันจะกลายเป็นมุกตลกที่หลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต


February 3, 1959 (3 กุมภาพันธ์ 1959)

ผู้ทำหน้าที่นักบินในคืนนั้นได้แก่ Roger Peterson นักบินหนุ่มวัย 21 ปี นักบินของ Dwyer Flying Service แม้จะเหนื่อยจากการทำงานมาก่อนหน้านั้นถึง 17 ชั่วโมง แต่ Roger Peterson ก็ไม่ขอพลาดโอกาสทำหน้าที่โชเฟอร์ให้นักร้องซูเปอร์สตาร์ทั้ง 3 คน

เครื่องบิน Beechcraft Bonanza ทะยานสู่ท้องฟ้าในเวลา 00.55 นาฬิกา ของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1959 โดย Hubert Jerry Dwyer เจ้าของ Dwyer Flying Service มาดูการออกตัวของเครื่องอยู่ที่ชานชาลาด้านนอกหอบังคับการบิน เขามองเห็นไฟจากหางเครื่องบินอย่างชัดเจนเมื่อเครื่องออกตัว แต่ไม่นานแสงดังกล่าวก็หายไป พอถึงเวลา 01.00 นาฬิกา Hubert Jerry Dwyer ได้ขอให้เจ้าที่สื่อสารติดต่อไปยัง Roger Peterson หลังจากนักบินหนุ่มขาดการติดต่อไปหลายนาที แต่ไม่มีสัญญาณใด ๆ ตอบกลับมา

พอรุ่งสาง Hubert Jerry Dwyer ได้นำเครื่องขึ้นบินเพื่อตามหานักบินหนุ่มของเขา ขับไปได้ไม่กี่นาที เขาก็เจอสิ่งที่ตามหา ภาพที่เห็นคือซากของ Beechcraft Bonanza ติดกับรั้วไร่ข้าวโพดที่เต็มไปด้วยหิมะ ห่างจากสนามบินไม่ถึง 10 กิโลเมตร

จากสภาพในที่เกิดเหตุ มีการประเมินว่า Beechcraft Bonanza น่าจะดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูง หรือประมาณ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนที่กระแทกพื้นก่อนคือปีกด้านขวา ทำให้ตัวเครื่องหมุนกลิ้งต่อไปอีก 160 เมตร ก่อนที่จะไปติดอยู่ที่รั้วลวดหนาม ร่างของ Buddy Holly และ Ritchie Valens กระเด็นออกมาแน่นิ่งอยู่ข้าง ๆ ซากเครื่องบิน ส่วน J. P. Richardson กระเด็นข้ามรั้วไปตกยังที่ดินของเพื่อนบ้าน ร่างของนักบิน Roger Peterson ยังคงติดอยู่ในซากของเครื่องบิน จากการยืนยันของเจ้าหน้าที่ระบุว่า คนทั้ง 4 เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที


Investigation (การสอบสวน)

สำนักงานการบินพลเรือนของสหรัฐฯ ได้ทำการสอบสวนประวัติของนักบิน ซึ่งพบว่า Roger Peterson นักบินเที่ยวมรณะวัย 21 ปีผู้นี้ มีประสบการณ์ในการขับเครื่องบินมาแล้ว 4 ปี โดยหนึ่งปีนั้นเป็นการทำงานให้กับ Dwyer Flying Service เขามีชั่วโมงบิน 711 ชั่วโมง โดย 128 ชั่วโมงมาจากการขับเครื่อง Beechcraft Bonanza นั่นเอง

แม้เขาจะมีชั่วโมงอบรมการบินแบบใช้เครื่องนำร่องที่ 52 ชั่วโมง แต่เขาก็สอบผ่านแค่การทำข้อเขียนเท่านั้น และยังไม่มีคุณสมบัตินำเครื่องขึ้นบินในสภาพอากาศที่นักบินต้องใช้เครื่องมือนำร่องแทนการมองด้วยสายตา ซึ่งทั้งตัวเขาและ Dwyer Flying Service ต่างไม่มีใบอนุญาตการบินด้วยเครื่องมือนำร่อง ซึ่งคืนวันเกิดเหตุ ทัศนวิสัยไม่อำนวยให้นักบินทำการบินด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคืนนั่นเมฆลอยต่ำและไร้แสงไฟจากพื้นดิน โดย 9 เดือนก่อนประสบอุบัติเหตุ Roger Peterson ยังสอบไม่ผ่านการ Check Ride หรือการออกใบอนุญาตนักบินอีกด้วย

จุดชี้เป็นชี้ตายของเที่ยวบินนี้ คือข้อมูลการอบรมการใช้เครื่องไจโรสโคป หรือเครื่องตรวจจับความเปลี่ยนแปลงเชิงมุมของเครื่องบิน ซึ่งรุ่นที่ Roger Peterson ผ่านการอบรมคือรุ่นมาตรฐาน ต่างจากไจโรสโคปของเครื่องบินในวันเกิดเหตุ ที่ยังใช้ไจโรสโคปรุ่นเก่า ที่แสดงผลตรงกันข้ามกับไจโรสโคปรุ่นปัจจุบัน จึงสันนิฐานว่าสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตก มาจากการอ่านไจโรสโคปผิดพลาดของ Roger Peterson แทนที่จะนำเครื่องขึ้นอย่างที่ตั่งใจ เขากลับเร่งเครื่องลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูง ความผิดพลาดยังตกอยู่กับผู้ควบคุมการบิน ที่ไม่เน้นย้ำให้นักบินหนุ่มตระหนักถึงสภาพอากาศอันเลวร้ายที่รออยู่ข้างหน้า นำไปสู่เหตุสลดที่ไม่มีวันย้อนกลับมาแก้ไขได้อีก


Survivors (ผู้รอดชีวิต)

ทันทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชายจากข่าววิทยุ มารดาของ Buddy Holly ก็กรีดร้องจนสลบไปในทันที ส่วน María Elena ภรรยาของ Buddy Holly ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน ก็เสียใจอย่างรุนแรงจนแท้งลูก การสูญเสียซ้ำสองเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากเธอทราบข่าวการเสียชีวิตของสามีจากรายงานทางโทรทัศน์

การที่ Buddy Holly ต้องสูญเสียทายาทเพียงคนเดียวของเขาไปอีกคน นำไปสู่การปรับเปลี่ยนมาตรการการเปิดเผยรายชื่อผู้ประสบภัยในสหรัฐฯ โดยเจ้าหน้าที่จะไม่เปิดเผยชื่อผู้ประสบภัยผ่านสื่อ จนกว่าญาติจะได้แจ้งเสียก่อน

Waylon Jennings มือเบสผู้รอดชีวิตจากการแลกที่นั่งกับ J. P. Richardson กลายเป็นผู้รับหน้าที่นักร้องนำแทน Buddy Holly ใน Winter Dance Party จนกระทั่งทัวร์สิ้นสุดลงในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา

การแซวมุกเครื่องบินตกกลายเป็นสิ่งที่กัดกิน Waylon Jennings ไปทั้งชีวิต เขากลายเป็นทาสยาเสพติดอยู่หลายปี โดยปี 1963 เขาได้แต่งเพลง “The Stage (Stars in Heaven)” เพื่อไว้อาลัยแก่เพื่อนผู้วายชนม์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานในวัย 64 ปี เมื่อปี 2002

Carl Bunch มือกลองที่รอดจากการเป็นผู้โดยสารเที่ยวบินมรณะ เพราะไปรักษาตัวอาการหิมะกัดที่เท้า ได้กลับมาตีกลองให้กับงาน Winter Dance Party จนจบทัวร์ แม้ภายหลังเขาผันตัวไปเป็นนักเทศน์ แต่ก็ยังอุทิศเวลามาร่วมเทศกาลรำลึกถึง Buddy Holly อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ชื่อในลายเส็นที่มอบให้กับแฟน ๆ ว่า “จิ้งหรีดตัวที่ถูกหิมะกัด” (The Frostbitten Cricket) เพื่อรำลึกถึงวง The Cricket ของเพื่อนเก่า Carl Bunch เสียชีวิตในวัย 71 ปีจากโรคเบาหวานในปี 2011

Tommy Allsup มือกีตาร์ดวงแข็ง เพราะความไร้โชคในเกมเสี่ยงเหรียญครั้งนั้น ทำให้เขากลายเป็นสมาชิกที่อายุยืนที่สุดในกลุ่มศิลปินที่ไปร่วมทัวร์ Winter Dance Party มาด้วยกัน โดยเขาเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดไส้เลื่อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน จากไปในวัย 85 ปี โดยเมื่อปี 1979 เขาเคยเปิดคลับส่วนตัวในชื่อ Tommy’s Heads Up Saloon
ซึ่งเป็นการตั้งชื่อเพื่อย้ำเตือนถึงเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครั้งอดีต เพื่อแสดงให้เห็นว่า บางครั้งชะตาชีวิตคน สามารถเปลี่ยนแปลงได้แค่การสลับด้านของเหรียญเท่านั้น


Rebirth (การคืนชีพ)

ในพิธีศพของ Buddy Holly ไม่มีการนำเพลงของเขามาเปิดไว้อาลัย เนื่องจากครอบครัวนักร้องหนุ่มซึ่งมีแนวคิดเคร่งศาสนา ไม่ยอมรับดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ลูกชายทิ้งไว้เป็นมรดก แต่ผู้ที่ทำให้ดนตรีของเขาไม่เลื่อนหาย ก็คือแฟนเพลงที่ให้การตอบรับผลงานของ Buddy Holly มากซะยิ่งกว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อ “It Doesn’t Matter Anymore” ซิงเกิลสุดท้ายที่เคยทำยอดขายกระท่อนกระแท่น กลับมาไต่ชาร์ต Billboard ถึงอันดับที่ 13 นับเป็นครั้งแรกที่วงการเพลงได้เห็นศักยภาพการทำเงินของศิลปินที่จากโลกไปอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อความโหยหาของแฟนเพลงต่อศิลปินผู้จากไปแบบไม่ได้ตั้งตัว กลายเป็นพลังที่ส่งให้ผลงานของศิลปินเหล่านั้นกลายเป็นอมตะในเวลาเพียงข้ามคืน

หลายเดือนหลังจาก Buddy Holly เสียชีวิต อัลบั้มของเขายังขายได้อย่างต่อเนื่อง จนค่าย Decca ต้องออกอัลบั้มรวมฮิตให้กับนักร้องผู้มีผลงานในวงการมาแค่ 1 ปีครึ่ง ซึ่งอัลบั้มชุดนั้นก็วนเวียนอยู่บนชาร์ต Billboard ยาวนานถึง 7 ปี ความคลั้งไคล้ในอังกฤษยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี ไม่ว่าจะผลิตผลงานใหม่มาซักกี่ชุด ทั้ง อัลบั้ม เดโม, อัลบั้ม บีไซด์ หรืองานบันทึกเสียงผลงานที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มันก็ยังไม่พอกับความต้องการ จนอัลบั้มหลายชุดขาดตลาด ผลงานทุกชุดของ Buddy Holly ติดชาร์ตในอังกฤษทั้งหมด ความนิยมเหล่านี้กลายเป็นอิทธิพลที่ส่งไปยังศิลปินอังกฤษรุ่นใหม่ ที่มี Buddy Holly เป็นต้นแบบของการสร้างวงดนตรีสำหรับบุกตลาดเพลงอเมริกันในอีกไม่กี่ปีต่อมา

ไม่ต่างจาก Ritchie Valens ผู้แจ้งเกิดในวงการเพลงแค่ปีเดียว ที่อิทธิพลทางดนตรีในฐานะร็อกสตาร์ลาตินคนแรกของวงการ ยังคงสร้างกระแสต่อมาอีกหลายปี ทั้งต่อ Santana ยอดมือกีตาร์ละติน ส่วน “La Bamba” การนำเพลงพื้นบ้านเม็กซิโกมาร้องใหม่ในสไตล์ร็อกแอนด์โรล ยังถูกศิลปินรุ่นหลังอย่าง Los Lobos นำไปร้องใหม่จนโด่งดัง จนกลายเป็นเพลงภาษาสเปนเพลงแรกที่ครองแชมป์ชาร์ต Billboard ได้สำเร็จ

Jay Richardson ลูกชายของ J. P. Richardson ซึ่งเกิดหลังจากบิดาเสียชีวิตเพียง 2 เดือน ได้สืบสานตำนานเพลงของผู้เป็นพ่อ ด้วยการตระเวณแสดงเป็นเงาเสียงของพ่อ โดยเวทีหลักที่เขาไปเยือนเป็นประจำก็คือการจำลองงาน Winter Dance Party การรำลึกถึงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของศิลปินผู้ล่วงลับ ที่จัดขึ้นทุกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ โดยจัดยังสถานที่ต้นตำรับอย่าง Surf Ballroom เมืองเคลียร์เลก รัฐไอโอวา ซึ่งเงาเสียงของ Buddy Holly และ Ritchie Valens ต่างก็มาร่วมเวทีกันทุกปี จนกระทั่ง Jay Richardson เสียชีวิตไปเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา


แม้การแท้งบุตรของภรรยาหม้าย จะทำให้ Buddy Holly จากโลกไปโดยไร้ทายาทสืบสกุล แต่มรดกทางดนตรีที่เขาฝากเอาไว้ในวงการเพลง ทำให้เขามีทายาททางดนตรีอยู่ทุกหัว ระแหง โครงสร้างวงดนตรี “กีตาร์ 2 เบสและกลองอย่างละ 1” ซึ่งเป็นภาพจำของ The Cricket วงดังของ Buddy Holly กลายเป็นสูตรการสร้างวงร็อก ที่ศิลปินยุค ’60s นำไปใช้ อย่างแพร่หลาย ทั้ง Beatles, Rolling Stones, Kinks และ The Yardbirds

ความเศร้าจากการสูญเสียยอดศิลปินทั้ง 3 ในช่วงที่ยุคทองของร็อกแอนด์โรลกำลังจะปิดฉากลง อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าดนตรี (ในแบบที่เคยรู้จัก) ได้ตายไปแล้ว แต่มรดกทางดนตรีที่ผู้วายชนม์ทั้ง 3 คนสร้างสรรค์เอาไว้ระหว่างช่วงชีวิตอันแสนสั้น ยังคงถูกใช้เป็นสารตั้งต้น ให้ศิลปินรุ่นหลังนำไปก่อกำเนิดดนตรีรูปแบบใหม่ ๆ ไม่จบสิ้น


ที่มา

“มันมีความหมายกับพวกเรามาก”— Bring Me the Horizon ขอบคุณแรงหนุนช่วยส่งขึ้นที่ 1 UK Chart

$
0
0

ทุกความเสี่ยงมีราคาที่ต้องจ่าย การเปลี่ยนแนวเพลงของวงดนตรีก็เช่นกัน — และในอัลบั้ม amo ผลงานชุดล่าสุดของ Bring Me the Horizon อดีตวงเดธคอร์จากเกาะอังกฤษก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขา ‘จ่าย’ ในสิ่งที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมาด้วยการประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้ว

amo สตูดิโออัลบั้มลำดับที่หกของ Bring Me the Horizon ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ทะยานขึ้นสู่ชาร์ตเพลงอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักร (ไม่ใช่แค่ในประเทศอังกฤษ) ด้วยยอดขายถึง 27,000 ชุด โดยในจำนวนนี้ 61% เป็นยอดขายจากการซื้ออัลบั้มแบบ physical หรือการซื้อที่จับต้องได้ เช่นพวกซีดี แผ่นเสียงไวนิล

ทางวงฝากคำขอบคุณมาให้แฟนเพลงผ่าน Official Album Chart ว่า:

“ขอบคุณทุกคนใน UK ที่พาอัลบั้ม ‘amo’ งานใหม่ของพวกเราก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งนะครับ ขอบคุณทั้งการซื้ออัลบั้มและการสตรีมมิ่ง และการแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนพวกเรา มันมีความหมายกับพวกเรามาก ๆ ขอบคุณทุกคนมากครับ เรารักคุณ”

Bring Me the Horizon มีชื่อปรากฎใน Official Album Chart ของสหราชอาณาจักรมาตั้งแต่ตอนที่ปล่อยอัลบั้มแนวเดธคอร์อย่าง Count Your Blessings ออกมาในปี ค.ศ. 2006 ที่อันดับ 93 และหลังจากที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีในตลอดหลายอัลบั้มที่ผ่านมา That’s the Spirit ผลงานชุดก่อนหน้าก็พาพวกเขามาถึงอันดับที่ 2 ก่อนที่จะตอกย้ำความสำเร็จด้วยการแตะยอดสูงสุดในวันนี้

แต่การประสบความสำเร็จในครั้งนี้ก็ทำให้พวกเขา ‘เสีย’ อะไรไปมากเหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดก็คือฐานแฟนเพลงในยุคแรกที่ชอบเพลงเมทัล/ฮาร์ดคอร์เป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่วงกังวลอยู่ในตอนนี้ ยินดีด้วยครับ

อ่านรีวิวอัลบั้ม amo ได้ที่นี่

[ ที่มา – Official Charts ]

Paradise Fest เขาใหญ่ ประกาศไลน์อัพเฟสแรก The Sun นำทัพ ร่วมด้วย Paledusk วงเมทัลจากญี่ปุ่น

$
0
0

ใครบอกว่า ‘ดนตรีร็อกตายไปแล้ว’ ก็คงต้องกลับลำกันหนักทีเดียวครับปีนี้ ล่าสุด Paradise Fest เทศกาลร็อกแห่งชาติเพิ่งประกาศไลน์อัพวงดนตรีเฟสแรกที่จะขึ้นแสดงในงานเดือนพฤษภาคมนี้ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาออกมาให้ทราบกันแล้ว

ความพิเศษคือไม่ได้มีแต่วงไทย! ไฮไลท์ของเฟสแรกนี้คือ Paledusk วงเมทัลคอร์จากประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งเล่นงานเดียวกับ Annalynn ในการเปิดให้กับ While She Sleeps ที่โตเกียวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

ส่วนวงไทยที่ประกาศออกมาแล้วในตอนนี้ได้แก่ Last Fight for Finish, กล้วยไทย, Annalynn, Dose, Sweet Mullet, Retrospect, Paradox, Flure, Dezember, Ebola, Silly Fools (+Dax) และโคตรวงเฮฟวีเมทัลรุ่นใหญ่ The Sun

ซึ่งนี่เป็นเพียงการประกาศรอบแรกเท่านั้น หลังจากนี้น่าจะมีวงดี ๆ ตามมาอีกเยอะ แต่… แค่นี้ก็น่าจะใช้ประกอบการตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะซื้อบัตรหรือไม่ เพราะค่าเข้างานแค่ 800 บาท 1 แถม 1 ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตกคนละ 400.- เท่านั้น สามารถเอาเงินเก็บไปลงกับค่าเดินทางและที่พักกันได้ตามสะดวก

งาน Paradise Fest 2019 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคมนี้ ณ 8 Speed สนามแข่งรถที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา (aka โคราช) เท่าที่ทราบคืองานจะมี 3 เวที ซึ่งก็น่าจะมีพื้นที่ให้วงดนตรีมาลงกันอีกมาก รอการประกาศจากทางผู้จัดงานกัต่อไปครับ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Paradisefest (@ParadisefestTH)


Album Review: เทคคอร์ส “วิชาตัวเบา”ฉบับเต็มไปกับอาจารย์ Bodyslam

$
0
0

หลังจากหลบหายไป ‘วิ่งแบบพี่ตูน’ อยู่นาน ล่าสุด Bodyslam ก็คัมแบ็กอย่างเต็มตัวพร้อมคอนเสิร์ตใหญ่และอัลบั้มเต็มชุดใหม่ วิชาตัวเบา ที่ไม่ใช่การสำแดงเดช แต่เป็นการนำประสบการณ์ในชีวิตและทัศนคติในมุมมองที่เติบโตขึ้นออกมาถ่ายทอดเป็นบทเพลง

ที่จริงมีหลายเพลงในอัลบั้มนี้ที่คุ้นหูอยู่แล้ว เพราะตัดเพลงออกมาเป็นซิงเกิลโปรโมตเยอะมาก “ใคร คือ เรา” แทร็กเปิดอัลบั้มมีอายุในวงการเพลงถึง 9 เดือนแล้ว จะมีที่เป็นน้องเล็กสุดก็คือ “นิรันดร์” ที่ได้นักร้องสาวเสียงคุณภาพอย่างปาล์มมี่มาแจม ที่ดูจะเป็นที่รู้จักน้อยสุดเพราะเพิ่งออกไม่นาน

นั่นทำให้เราสามารถไปโฟกัสกับเพลงอื่น ๆ ที่เหลือที่ไม่ถูกโปรโมตได้มากขึ้น และได้เทคคอร์ส ‘วิชาตัวเบา’ กับเหล่าพี่ ๆ Bodyslam แบบเข้มข้น

หลัก ๆ แล้วเพลงในอัลบั้มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็นสองด้าน คือเรื่องราวเกี่ยวกับ 1. ชีวิต 2. ความรัก ซึ่งทั้งหมดมาในทางเดียวกันคือ ช่วยเปลี่ยนวิธีคิดอันหนักอกหนักใจ ให้เรารู้สึกเบาขึ้นตามชื่ออัลบั้มจริง ๆ


ชีวิต…

เพลงเกี่ยวกับชีวิตหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มนี้เป็นการชวนให้ตั้งคำถามกับชีวิตที่เป็นอยู่ “ใคร คือ เรา” กระทุ้งถามคนฟังว่า “ใครกำหนดไว้ให้เราต้องเชื่อดวงดาว” เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนลุกขึ้นมา “ทำตามหัวใจ” ของตัวเองดูซักครั้ง หรือเพลงอย่าง “ไม่แก่ตาย” ที่ปลุกใจและดึงเอาความ young at heart ที่ซ่อนอยู่ในใจแฟนเพลงหลาย ๆ คนที่อาจจะล่วงเลยเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ให้กลับมาเยาว์วัยอีกครั้ง ท่อนแร็ปของพี่โจ้ Joey Boy เติมไฟในใจได้ดีมาก “ถ้าร็อกเนเวอร์ดาย คนอย่างกูไม่มีวันแก่ตาย!”

“แสงสวรรค์” มากับการให้คำลังใจคนที่กำลังต่อสู้และพบกับความผิดพลาดได้ดีมาก ๆ “ล้มคือธรรมดา ต้องหยุด ฟื้นกำลังวังชา” เหมือนมีคนมาตบไหล่แล้วบอกเราว่า ‘ไม่เป็นไรนะ สู้ต่อไป’

อีกเพลงที่ไม่ได้ตัดมาโปรโมต แต่เราคิดว่าดีมาก ๆ คือเพลง “ผักบุ้งลอยฟ้า” ตั้งชื่อฟังดูตลก แต่ก็มากับเนื้อหาโคตร deep ที่ทำให้เราต้องทึ่งในฝีมือการเล่าเรื่อง ว่าชื่อเสียงที่มีอยู่ก็เป็นเพียงสิ่งฉาบฉวยไม่ต่างจากผักบุ้งลอยฟ้า ที่โดดเด่นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว และถึงจุดหนึ่งก็ต้องร่วงหล่นลงสู่จานอาหาร หรือในกรณีที่แย่ที่สุดก็คือหล่นลงบนพื้นดิน การได้พี่กอล์ฟ Fukking Hero มาแจมด้วยก็ทำให้เพลงสนุกขึ้นอีกเยอะ ฮึกเหิมมาก

แต่เพลงก็ไม่ได้ไปในโทนของความหวังหรือปลุกใจเสียทั้งหมด เพราะ “เช้าที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยส่องแสง” ก็ฉายแววหม่นเศร้ามาตั้งแต่ชื่อเพลง ถ้ามาฟังเพลงนี้ตอนจิตตกอยู่ก็คงหดหู่มากเหมือนกัน รู้สึกว่ามันชวนเหงาเศร้าซึมทั้งเนื้อร้องและท่อนโซโล่ยังไงชอบกล


ความรัก…

มุมมองความรักของ Bodyslam เติบโตขึ้นมาก ถ้าคุณคือแฟนเพลงรุ่นเก่าที่รอคอยจะได้ฟังเพลงแบบ “ย้ำ” หรือ “งมงาย” ก็บอกได้แค่ว่ากำลังเสียเวลาเปล่า แต่ก็ต้องขอย้ำไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า เพลงรักในอัลบั้มนี้มากับคอนเซปต์และทัศนคติที่ดีมาก

ต้นอัลบั้มเราจะเจอกับเพลง “149.6” เป็นลำดับที่สองต่อจาก “ใคร คือ เรา” เพลงนี้วางคอนเซปต์ไว้เป็นระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป อบอุ่นพอที่จะหล่อเลี่ยงให้ชีวิตบนดาวเคราะห์นี้ดำเนินไป พี่ตูน นักร้องนำ เปรียบความรักที่ไม่สมหวังไว้กับระยะทางอันพอดีนี้ว่า “มันคือความห่างไกลที่ใกล้ที่สุดแล้ว” เป็นการยอมรับกับธรรมชาติของความสัมพันธ์ ว่าสุดท้ายมันก็เท่านี้

เพลง “ทฤษฎีวัคซีน” คืออีกเพลงที่วางคอนเซปต์ในการเล่าเรื่องไว้ได้น่าสนใจ เปรียบเปรยให้รักที่ผิดหวังเป็นดั่ง ‘วัคซีน’ ที่ทำหน้าที่ส่งโรคร้ายเข้าร่างกาย เพื่อให้เราได้ใช้ในการสร้างภูมิต้านทาน และขอบคุณประสบการณ์ในวันวาน “ใครเลยจะคิด ที่ทำกับฉันเพราะเธอรักกัน ที่ทำวันนั้นคือเธอรักฉัน”

ไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเพลง “นิรันดร์” feat. Palmy ที่เขียนถึงความรักที่ล้มเหลวได้ชอกช้ำดีเหลือเกิน กับการตั้งคำถามว่า รักนิรันดร์ มีอยู่จริงหรือไม่ สัมผัสได้ว่าทางวงให้ซีนกับพี่มี่ Palmy เยอะมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเชิญนักร้องคุณภาพระดับนี้มาทั้งที จะโผล่มาท่อนเดียวก็เสียของแย่ เป็นหนึ่งในเพลงโปรดมาก ๆ ในอัลบั้มนี้จากผู้เขียน


ดนตรี…

ว่าด้วยเรื่องของดนตรี แนวทางโดยรวมของอัลบั้มวิชาตัวเบามีความ ‘ใหญ่’ ในหลายมิติ เรื่องความแน่นของพาร์ทกีตาร์-เบส-กลอง เป็นเรื่องที่เราคงไม่ต้องตั้งคำถามกับสมาชิกวงกันอีกแล้ว ทีมเวิร์กดี ฝีมือเด่น และในยุคหลังของวงที่ได้มือคีย์บอร์ดอย่างพี่โอมเข้ามาก็เสริมให้วงสามารถ discover มิติใหม่ ๆ ของเพลงได้เยอะมาก

แต่ถึงกระนั้นเพลงกลับไม่ได้ทำออกมาซับซ้อนหรือฟังยากเหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านในหลายอัลบั้มก่อนหน้า โดยรวมฟังง่ายขึ้นมาก เหมือนเป็นการขัดเกลาเอาความเป็น Bodyslam เก่า กับ Bodyslam ใหม่มาเบลนด์รวมกันให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ชุดนี้น่าจะเรียกศรัทธาจากแฟนเพลงทั้งยุคเก่ายุคใหม่ได้เยอะทีเดียวครับ


สรุป…

ความรักและความฝันในชีวิตเดินทางมาบรรจบพบกันในเพลงสุดท้าย “ความหมาย” เพลงบัลลาดที่ใช้เปียโนนำ ว่าด้วยเรื่องของ ความสำเร็จ ที่อาจไม่มีความหมายใด ๆ กับชีวิตเลยแม้แต่น้อยหากไม่มีคนข้างกายมายินดีกับเราไปด้วย

แอบรู้สึกว่าหลาย ๆ เพลงเป็นการแต่งขึ้นจาก ‘ประสบการณ์ส่วนตัว’ (ไม่ว่าจะของใครก็ตาม) แต่ถูกเรียบเรียงและนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ไม่ส่วนตัวจนเกินไป และคนที่ได้ฟังก็สามารถนำไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตของตัวเองได้ไม่ยาก

อัลบั้ม วิชาตัวเบา อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกโล่งอก 100% หลังฟังจบ แต่ก็เป็นอัลบั้มเพลงร็อกที่เต็มไปด้วยดนตรีที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างละเอียด และมีสิ่งต่าง ๆ ให้ผู้ฟังเก็บไปคิดเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคนกันเองได้อีกมาก วิชานี้อาจไม่ได้สอนเราทุกอย่าง แต่ก็เป็นการเรียนรู้ผ่านบทเพลงที่เปิดทางในใจให้กับเราได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

ยึดมั่นในความหนัก! “The Guilty Party”ซิงเกิลแรกในปี 2019 จาก While She Sleeps

$
0
0

ในขณะที่ Bring Me the Horizon หันไปหาดนตรีแนวอื่นที่ไม่ใช่เมทัลจ๋าอีกต่อไป แวดวงเพลงสายหนักของประเทศอังกฤษน่าจะต้องฝากไว้กับวงเมทัลคอร์ร่วมเมืองอย่าง While She Sleeps แทนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงแม้ทางวงจะกำลังมีอัลบั้มที่สี่ออกมา ทว่า แนวทางในการทำดนตรียังคงอยู่ใน ‘สายหนัก’ เช่นเดียวกับตอนแรกเริ่ม

“The Guilty Party” ซิงเกิลแรกในปี ค.ศ. 2019 ทางวงเปิดศักราชกันด้วยเพลงเดือด ๆ แบบที่สาวกหลงรัก นอกจากความหนักสับแหลกแบบเมทัลคอร์ติดลูกกลองสับลุย ๆ พังก์ ๆ แบบที่เราจะได้จากวงแน่นอน ในส่วนของเมโลดี้ก็ทำออกมาได้ติดหูและทันสมัย การแบ่งรับแบ่งสู้ของพาร์ทร้องระหว่าง Loz นักร้องนำ กับ Sean Long มือเบสที่ทำหน้าที่ร้องคอรัสวางกันไว้ได้ลงตัวมาก ๆ เรียกว่าโผล่มาทีไรต้องได้เนื้อเพลงติดหูกลับไปแน่นอน เรียกว่าเป็นอาหารร้านเดิมที่เพิ่มเติมความอร่อยเข้าไปก็ว่าได้

เพลงนี้เป็นซิงเกิลลำดับที่สามจาก So What? อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ของวงที่จะออกวางจำหน่ายในวันที่ 1 มีนาคมนี้ผ่านค่าย Spinefarm Records และ Search & Destroy — ที่น่าสนใจก็คือ ทางวงเพิ่งทัวร์เอเชียไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยข้ามหัวประเทศไทยไปแบบไม่ใยดี (ทั้งที่มีวงไทยเป็นวงเปิด!?) ก็ต้องมาติดตามกันว่าหลังจากอัลบั้มเต็มชุดนี้ออกจะมีการ ‘ซ้ำ’ เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทางวงเองก็เคยมาเปิดการแสดงที่ประเทศไทยถึงสองครั้งสองครา จะไม่กลับมาซ่้ำอีก (โปรโมเตอร์) ก็ใจร้ายเกินไปหน่อยแล้ว!

Falling in Between ปล่อยหมัดเด็ดสไตล์เมทัลคอร์ในซิงเกิลใหม่ “Diamond”

$
0
0

Falling in Between วงเมทัลคอร์สัญชาติไทย จากค่าย Banana Records เปิดตัว “Diamond” ซิงเกิลใหม่ล่าสุดที่ทำภายใต้ค่ายใหม่ออกมาให้ฟังและชมมิวสิกวิดีโอกันแล้ว

ดนตรีในเพลงนี้มากับซาวด์โมเดิร์นเมทัลคอร์ที่เล่นด้วยศิลปินฝีไม้ลายมือและลีลาสุดจัดจ้าน ใส่อารมณ์พุ่งพล่านตลอดทั้งเพลง ในส่วนของท่อนฮุกทางวงใช้การร้องคลีนเสริมความติดหูตามแบบฉบับของแนวดนตรีนี้ ใครชอบเพลงเมทัลจังหวะโยก ๆ ชวนมอช รับรองว่าต้องชอบ

ได้ยินมาแว่ว ๆ ว่าตอนนี้ FiB กำลังมุ่งมันทำอัลบั้มเต็มกันอยู่อย่างหนักหน่วง คอเพลงเมทัลไทยก็อดใจรอกันอีกนิดหน่อยนะครับ และสำหรับตอนนี้ก็ขอเรียนเชิญทุกท่านไปกดไลค์เพจวงเพื่อติดตามข่าวสารและผลงานกันต่อได้ที่เฟซบุ๊ก Falling in Between (@FallinginbetweenTh) ได้เลย


ONE OK ROCK ปล่อยซิงเกิลใหม่ “Wasted Night”ซาวด์ต่างไป แต่บอกได้ว่า OK

$
0
0

ONE OK ROCK วงร็อกสัญชาติญี่ปุ่นเปิดตัว “Wasted Night” ซิงเกิลใหม่ล่าสุดในรูปแบบมิวสิกวิดีโอออกมาให้ชมและฟังกันแล้ว เพลงนี้บรรจุอยู่ใน Eye of the Storm อัลบั้มเต็มชุดใหม่ที่กำลังจะวางจำหน่ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 นี้

สไตล์ดนตรีของซิงเกิลนี้ยังเป็นซาวด์โมเดิร์นร็อกแบบที่เรามักจะได้ยินจากงานในชุดหลัง ๆ ของ OOR ที่มีการนำดนตรีอิเล็กทรอนิกเข้ามาช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ เพลงนี้เป็นเพลงจังหวะช้า ๆ เพลิน ๆ เสียงร้องของ Taka ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลังและน่าฟังมาก ๆ เหมือนเคย เนื้อหาถูกนำเสนอออกมาผ่านสองภาษา ญี่ปุ่นและอังกฤษ ซึ่งก็เป็นทางถนัดของวงมานานแล้ว ก็ถือว่ารักษามาตรฐานได้ดี

สัมผัสได้ว่า ดนตรีของ ONE OK ROCK เติบโตไปพร้อมกับวัยของสมาชิกในวง และการทำเพลงในลักษณะนี้ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่ชัดเจนมากว่า พวกเขาพร้อมจะก้าวขึ้นไปอีกระดับ ไม่ได้เป็นแค่วงร็อกสำหรับแฟนเพลงสายญี่ปุ่นเพียงกลุ่มเดียวเหมือนในวันวานอีกต่อไปแล้ว


จัดจ้านในย่านเดธ! “This Road”ซิงเกิลใหม่ล่าสุดจาก Children of Bodom

$
0
0

Children of Bodom ยอดวงเมโลดิกเดธเมทัลจากประเทศฟินแลนด์กลับมาแล้ว! พร้อมซิงเกิลใหม่สุดจัดจ้าน “This Road” ผลงานจาก Hexed อัลบั้มเต็มชุดใหม่ล่าสุดของวงที่กำลังจะออกในวันที่ 8 มีนาคมนี้กับสังกัด Nuclear Blast Records

ใครที่ต้องการดนตรีเมโลดิกเดธเมทัลแบบจัดหนัก เพลงนี้ Children of Bodom ตอบสนองให้เต็ม ๆ : ดนตรีเมโลดิกเดธเมทัลชั้นเยี่ยม ควบไปด้วยริฟฟ์กีตาร์หนักแน่น เคล้าเมโลดี้ไปพร้อมกับกระเดื่องกลองฝีตีนโคตรดุ แถมด้วยท่อนฮาร์โมนิกที่ดีไซน์ออกมาได้อย่างเฉียบขาด ท่อนโซโลกีตาร์ของเพลงนี้มีการแบ่งสัดส่วนให้ฝั่งคีย์บอร์ดได้แสดงความสามารถด้วย และดนตรีรวม ๆ ก็มีการปรับสัดส่วนแบบเทคนิคัลนิด ๆ พอหอมปากหอมคอ เรียกว่าแซวเป็นวง Lamb of Bodom ได้เลย (ลองฟังช่วง 2:04 ดูครับ ฮ่า ๆ)

เท่าที่ฟังดู เพลงนี้ถ้าไม่บอกว่าเป็น CoB ก็จะนึกว่าเป็นเพลงของพวกวงเมทัลจากฝั่งเมืองกูเตนเบิร์กเลยครับ ใครที่อยากได้ความจัดจ้านทางดนตรี อัลบั้ม Hexed ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน!


“Miracle”มิวสิกวิดีโอตัวล่าสุดจากวงอีโมพังก์ในดวงใจ Story of the Year

$
0
0

แม้จะผ่านพ้นจุดพีคในยุคเพลงอีโมครองเมืองไปแล้ว แต่ Story of the Year วงอีโมพังก์จากเมืองเซนต์หลุยส์ บางรัก (ถุย ไม่ใช่!) รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ก็ยังคงเดินหน้าทำผลงานใหม่ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกันจนถึงปัจจุบัน และ “Miracle” ก็คือผลงานชิ้นล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในตอนนี้

ที่จริงเพลงนี้ไม่ถือว่าใหม่มากนัก เพราะรวมอยู่ในอัลบั้ม Wolves ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2017 แต่ในเมื่อหยิบขึ้นมาโปรโมตกันทั้งทีเราก็อยากจะพูดถึงซักเล็กน้อย — ซาวด์ของเพลงนี้เป็นดนตรีในยุคใหม่ของวง ที่เติมแต่งซาวด์ซินธ์เวฟยุค ’80s เข้าไป โครงสร้างหลักยังเป็นอีโมพังก์เหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าเพิ่มเติมความแปลกใหม่เข้าไปได้อย่างลงตัว ท่อนฮุกที่ติดหูยังคงเป็นหัวใจสำคัญในบทเพลงของวงเสมอมา

ใครที่คิดถึงซาวด์เก่า ๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่อยากลองเปิดใจฟังแนวทางใหม่ ๆ ของพวกเค้ากันดูครับ เพราะทางวงดูท่าทางตั้งใจและปราณีตกับซาวด์มากเป็นพิเศษเพื่อเอาชนะใจแฟนเพลงแน่ ๆ ครับ


Corey Taylor เผยภาพบรรยากาศเบื้องหลังการทำหน้ากาก Slipknot ชุดใหม่

$
0
0

เมื่อสัปดาห์ก่อน Corey Taylor ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าในอัลบั้มใหม่ของวง Slipknot ที่กำลังจะออกในปี ค.ศ. 2019 นี้ ทางวงได้รับโอกาสในการร่วมงานกับเจ้าพ่อเอฟเฟกต์สยองขวัญแห่งโลกภาพยนตร์ Tom Savini ผู้อยู่เบื้องหลังความโหดดิบเถื่อนที่ปรากฎในหนังอย่าง Dawn of the Dead, Day of the Dead, Friday the 13th และ The Texas Chainsaw Massacre

หน้ากากคอลเล็กชันที่ 5 ของ Slipknot เข้าสู่กระบวนการออกแบบและสร้างขึ้นจริงตั้งแต่ช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ทว่ายังไม่ได้เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ล่าสุดก็มีภาพจากเฟซบุ๊กของ Corey Taylor ที่นำบรรยากาศเบื้องหลังออกมาปล่อยให้เราชมกันเล็กน้อย


อ่านเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับวง Slipknot ได้ที่นี่

[ ที่มา – Louder (1), (2) ]

Foo Fighters เชิญสมาชิก Queen, Rage Against the Machine, Zac Brown มาแจมคอนเสิร์ตเดียวกัน

$
0
0

เมื่อพูดถึงวง Foo Fighters แล้ว ในยุคนี้ก็ต้องบอกว่า ‘ไปที่ไหน พีกที่นั่น’ — ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่คอนเสิร์ต pre-Super Bowl คอนเสิร์ตอุ่นเครื่องก่อนอเมริกันฟุตบอลนัดชิง ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา พวกเขาก็หักไม้ผีเรียกแขกรับเชิญตัวท็อปของวงการเพลงร็อกมารวมกันบนเวทีแบบที่น้อยคนจะทำได้

เริ่มกันที่เพลง “La Dee Da” ที่ได้ Dave Koz มือแซ็กโซโฟนสายสมูธแจ๊สชื่อดังมาแจมด้วย ซึ่งนั่นเป็นแค่น้ำจิ้มเดียวของค่ำคืนดังกล่าว

ในช่วงกลางโชว์ หลังจากที่ทางวงเอ็นเตอร์เทนคนดูด้วยเมดเลย์เพลงร็อกชุดใหญ่จบไปหนึ่งกระบวนท่า Taylor Hawkins มือกลองของวงก็พาตัวเองออกจากตำแหน่งกระดูกสันหลังของวง และเชิญให้โคตรตำนานแห่งวงการเพลงร็อกที่ยังมีลมหายใจ นั่นก็คือ Roger Taylor ขึ้นมาร่วมแสดงเพลง “Under Pressure” ผลงานของวง Queen ของเขาเองร่วมกับวง

นอกจากนี้แล้ว ในช่วงท้ายโชว์ พวกเขาก็ยังได้ Zac Brown และ Tom Morello แห่ง Rage Against the Machine ขึ้นมาเล่นคัฟเวอร์เพลง “War Pigs” ผลงานสุดอมตะของวง Black Sabbath ด้วยกัน

และหลังจากนั้นอีกหนึ่งเพลง Perry Farrell ฟรอนต์แมนวง Jane’s Addiction ก็ปรากฎตัวขึ้นมา และทุกคนก็เล่นเพลง “Mountain Song” ของวง JA ด้วยกัน

ไม่ใช่ Dave ทำแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ ดูเซ็ตลิสต์ทั้งหมดของโชว์ได้ที่นี่

[ ที่มา – Louder ]

Korn ยื่นฟ้อง David Silveria อดีตมือกลองในกรณีละเมิดข้อตกลงค่าลิขสิทธิ์เพลง

$
0
0

ก่อนเคยรักกันหวานชื่น เวลาผ่านไปมิตรสหายที่เคยร่วมวงก็กลับต้องมาฟ้องร้องกันแบบเอาเป็นเอาตาย และล่าสุด David Silveria อดีตมือกลองโคตรวงนูเมทัลรุ่นใหญ่ Korn ก็ต้องเผชิญกับข้อพิพาททางกฎหมายกับอดีตเพื่อนร่วมวงอีกครั้ง

ท้าวความกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 2015 David ยื่นฟ้อง 4 สมาชิกวง Korn เพื่อเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากบทเพลงที่เขามีส่วนร่วมสร้างขึ้น โดยอ้างว่าการออกจากวงในปี 2006 เป็นเพียงการพักชั่วคราว (hiatus) และเมื่อต้องการที่จะกลับเข้าวงในปี 2013 กลับถูกทางวงปฏิเสธ เป็นเหตุให้ต้องเรียกค่าเสียหายจากผลงานในช่องว่างที่หายไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ได้ข้อตกลงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ร่วมกันในปีถัดมา (2016)

หลังจากนั้นในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2018) ทางวง Korn ทราบว่า David ติดต่อไปยังบริษัท SoundExchange เพื่อเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ผลงาน ซึ่งทางวงได้แจ้งไปยังอดีตเพื่อนร่วมวงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้ในปี 2016 — ที่ยิ่งแย่คือตอนนี้ทางบริษัท SoundExchange ได้จ่ายเงินให้กับ David ไปเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ทางวง Korn เปิดเผยออกมาล่าสุดคือพวกเขาสูญเงินในส่วนนี้ไปราว ๆ 290,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 9 ล้านบาทไทยแล้วในตอนนี้

ในรายงานจาก The Blast ระบุไว้ว่าทางวง Korn กำลังเดินหน้าเอาเรื่องในการละเมิดสัญญา และพยายามหาทางระงับสิทธิ์ของ David Silveria ในการเก็บค่าลิขสิทธิ์ส่วนนี้ ซึ่งผลจะเป็นเช่นไรเราต้องมาติดตามกันต่อไป

เว็บไซต์ Blabbermouth.net ระบุว่าที่ David ตัดสินใจฟ้องร้องวง Korn ในปี 2015 เนื่องมาจากเขามองว่าทางวง Korn เลือกปฏิบัติในการต้อนรับ Brian “Head” Welch มือกีตาร์กลับเข้าร่วมวง แต่กลับไม่ทำแบบเดียวกันในกรณีของเขา

Jonathan Davis นักร้องนำก็เคยให้สัมภาษณ์กับ The Pulse of Radio เอาไว้ว่าเขารู้สึกว่าอดีตมือกลองคนนี้เสียแพชชันในการเล่นดนตรีไปแล้ว “ผมคิดว่าเขาสนุกกับการตีกลองมาก ๆ ในช่วงสองอัลบั้มแรกนะครับ แต่หลังจากนั้นเขาก็ดูเหมือนสูญเสียความรักในการตีกลองไปยังไงยังงั้นเลย มันเกิดขึ้นแล้ว”

ก่อนหน้านี้ David Silveria ก่อตั้งวงดนตรีใหม่ชื่อว่า Core 10 แต่อยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องแยกทางกันไป ล่าสุดเจ้าตัวและเพื่อนสมาชิกวงเก่าก็กลับมาก่อตั้งวงใหม่อีกหนึ่งวง ชื่อ BI•AS ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าวงดนตรีชื่ออคติวงนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน

[ ที่มา – Blabbermouth.net, The Blast ]

ใจมันรัก! Nickelback อยากทำอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงของ Slayer

$
0
0

เมื่อพูดถึง Nickelback วงร็อกชื่อดังจากประเทศแคนาดา คนฟังเพลงร็อก-เมทัลส่วนหนึ่งน่าจะคิดถึงการที่พวกเขาถูกล้อเลียน ว่าเป็นวงร็อกที่ทำเพลงตลาดแบบซ้ำซาก มากกว่าการเป็นวงดนตรีคุณภาพเยี่ยม แต่เมื่อทราบถึงรสนิยมการฟังเพลงของสมาชิกภายในวงแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่า ไปกันได้

Mike Kroeger มือเบสของวงเพิ่งให้สัมภาษณ์ไว้กับ Wall of Sound สื่อดนตรีจากประเทศออสเตรเลียว่าที่จริงแล้วทุกคนในวงชอบเพลงเมทัล และอยากทำอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงของวง Slayer ยอดอภิมหาแทรชเมทัลแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย

เมื่อถูกถามว่าทางวง Nickelback อยากทำเพลงที่หนักขึ้นกว่าปกติบ้างหรือไม่ Mike ตอบว่า:

“ผมอยากทำนะครับ เพลงเมทัลคือทางของผมเลย ผมไม่เคยผิดหวังในการฟังเมทัล”

“พวกเราทุกคนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคณะ Big Four ครับ ทั้งวง Metallica, Megadeth, Anthrax และ Slayer เลย ผมอยากจะทำอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงของ Slayer นะถ้าทำได้ หัวใจของผมอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ว่าวัน ๆ หนึ่งเนี่ยมันไม่มีเวลาพอสำหรับการทำทุกสิ่งทุกอย่างนี่นา แต่ก็บอกไว้เลยว่าผมไม่คิดตัดเรื่องนี้ออกไปครับ”

“ผมฟังเพลงของพวกวง Meshuggah, Gojira, Lamb of God… พวกนี้ด้วย แล้วเราก็เป็นเพื่อนกับพวกเขาด้วยครับ Daniel [Adair มือกลอง] กับผมติ่งผลงานของพวกเขาขั้นหนักมาก และในฐานะนักดนตรี พวกเราก็ชอบฟังเพลงของพวกเขาด้วยเหมือนกัน ว่าแต่คุณได้ฟังวง Animals as Leaders หรือยังนะครับ?”

“ผมยังไม่เคยดูพวกเขาแสดงสด ได้แต่เปิด YouTube ดูว่ามีอะไรให้เสพบ้าง และ The Madness of Many อัลบั้มใหม่ของพวกเขาก็โคตรหนักเลย แทบไม่อยากจะเชื่อในความเจ๋งของมัน ผมชอบมากครับ”

Nickelback กำลังอยู่ในช่วงของการทัวร์ประเทศโปรโมตอัลบั้มล่าสุด Feed the Machine ที่ญี่ปุ่น และจะเดินทางต่อไปยังประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะวกกลับมาทำการแสดงที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ใครสนใจบินไปร่วมงานกันได้ตามสะดวกครับผม

[ ที่มา – Louder, Wall of Sound ]


มีลุ้น! Netflix กำลังซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่ James Hetfield แห่ง Metallica ร่วมแสดง

$
0
0

นอกจากการเป็นนักร้องนำและมือกีตาร์ของวงดนตรีเมทัลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก James Hetfield แห่ง Metallica ยังเป็นนักแสดงด้วย เมื่อปีที่แล้วเขามีส่วนร่วมในการถ่ายทำภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ชื่อว่า Extremely Wicked, Shockingly Evil, and Vile ภาพยนตร์เกี่ยวกับ Ted Bundy ฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกา (James รับบทเป็น Bob Hayward ตำรวจนายหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการจับกุมเขาคนนี้)

มีรายงานจากเว็บไซต์ Variety ออกมาว่าทาง Netflix แพลตฟอร์มให้บริการคอนเทนต์บันเทิงชื่อดังจากสหรัฐอเมริกากำลังเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ของ Extemely Wicked สำหรับการปล่อยฉายให้ชมกันในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ อยู่ โดยแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามอ้างว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 250 ล้านบาทไทย

นอกจาก James Hetfield แล้ว Extremely Wicked ยังได้ Lily Collins นักแสดงสาว/ลูกสาวของ Phil Collins มือกลองวง Genesis ตำนานแห่งโปรเกรสซีฟร็อกจากประเทศอังกฤษมารับบทนำ และสุดหล่อกระชากใจสาวแห่งวงการฮอลลีวูด Zac Efron มารับบทเป็น Ted Bundy ด้วย

Extremely Wicked, Shockingly Evil, and Vile เพิ่งเปิดตัวที่เทศกาล Sundance Film Festival ไปเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา กำกับโดย Joe Berlinger ซึ่งเคยเป็น executive producer ในการทำทีวีซีรีส์เกี่ยวกับ Ted Bundy มาแล้ว และเป็นผู้กำกับ Metallica: Some Kind of Monster สารคดีของวงเมื่อปี 2004 ด้วย ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเมทัลเฮดคนโปรดของพวกเราถึงมาโผล่ในหนังเรื่องนี้ได้

ชมเทรลเลอร์:

[ ที่มา – Blabbermouth.net, Variety ]

Jason Richardson อดีตมือกีตาร์ Chelsea Grin เข้าเป็นสมาชิก All That Remains อย่างเป็นทางการ

$
0
0

All That Remains วงเมทัลคอร์จากเมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตต์ สหรัฐอเมริกา ประกาศให้ Jason Richardson เป็นมือกีตาร์คนใหม่ของวงอย่างเป็นทางการ

Jason เข้ามาเป็นสมาชิกชั่วคราวสำหรับออกทัวร์ในปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา แทนที่ของ Oli Herbert มือกีตาร์ยุคก่อตั้งวงที่เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

ก่อนที่เขาจะมาเข้าเป็นสมาชิกกับ All That Remains เจ้าตัวเคยออกอัลบั้มเดี่ยวมาแล้วสามอัลบั้ม เคยเป็นสมาชิกวง All Shall Perish, Born of Orisis, Chelsea Grin และเคยฟีทเจอริงกับวงเมทัลรุ่นใหม่มาแล้วหลายวง เช่น Suffokate, Polyphia และ Veil of Maya


[ ที่มา – Lambgoat ]

Maynard James Keenan สยบข่าวลือเรื่องอัลบั้มใหม่ของ Tool เดือนเมษายนนี้ด้วยคำคำเดียว

$
0
0

ก่อนหน้านี้มีข่าวดีออกมาจาก Danny Carey มือกลองวง Tool ระหว่างปรากฎตัวที่งาน NAMM ว่าอัลบั้มใหม่ของวงที่แฟนเพลงรอคอยกันมาเป็นทศวรรษ น่าจะออกวางจำหน่ายได้ในเดือนเมษายนที่กำลังจะถึงนี้ ล่าสุดก็มีการยืนยันออกมาแล้วว่า ‘ไม่จริง’

ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @jasonlycas724 ทวีตถาม Maynard James Keenan ฟรอนต์แมนของ Tool แบบตรงไปตรงมาว่าข่าวลือเรื่องอัลบั้มใหม่ที่จะมาในเดือนเมษายนนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ และเจ้าตัวตอบกลับมาสั้น ๆ เพียงคำเดียวว่า “ไม่”

ระหว่างนี้ก็ฟังอัลบั้ม 10,000 Days ที่ออกเมื่อ 13 ปีที่แล้วรอกันไปพลาง ๆ ครับ สวัสดี

[ ที่มา – Metal Injection ]

[ ข่าวลือ ] สุขภาพของ Brian Johnson อาจไม่พร้อมสำหรับทัวร์กับ AC/DC ในอนาคต

$
0
0

แม้จะมีข่าวดีออกมาว่า Brian Johnson กลับมารับหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับ AC/DC ยอดวงฮาร์ดร็อกจากประเทศออสเตรเลียอีกครั้งแล้ว แต่ก็มีข่าวลือร้าย ๆ ตามมาด้วยเช่นกัน

Alan Niven อดีตผู้จัดการวง Guns N’ Roses และ Great White ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ Appetite for Distortion ว่า การกลับมาของ Brian ครั้งนี้อาจเป็นแค่การร่วมงานกับวงในสตูดิโอ เนื่องจากเขาได้ยินข่าวลือมาว่าด้วยปัญหาด้านสุขภาพ Brian อาจไม่พร้อมสำหรับการออกทัวร์คอนเสิร์ตกับวง AC/DC อีกต่อไป

เมื่อปีก่อน Brian Johnson มีเหตุให้ต้องยุติการทัวร์คอนเสิร์ตกับวง AC/DC ลงกระทันหันตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากเจ้าตัวอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมาเป็นเวลานาน จนเสี่ยงต่อการหูหนวกอย่างถาวรได้ ซึ่งคนที่เข้ามารับหน้าที่แบกวงในการทัวร์จนจบก็เป็น Axl Rose นักร้องนำตัวแสบของวง Guns N’ Roses นั่นเอง

ซึ่งในกรณีแบบนี้ก็มีแนวโน้มสูงมากว่า Axl อาจได้รับหน้าที่เป็นมือปืนรับจ้างให้กับวงอีกครั้ง? ต้องมาติดตามดูกันต่อไปครับ

[ ที่มา – AlternativeNation.net ]

Periphery แสดงความ Djent ให้แฟน ๆ ในซิงเกิลใหม่ “Blood Eagle”

$
0
0

Periphery โปรเจ็กต์ดนตรีแนวโปรเกรสซีฟเมทัลที่นำโดยมือกีตาร์อัจฉริยะ Misha Mansoor เปิดตัวซิงเกิลใหม่ออกมาให้ฟังและชมมิวสิกวิดีโอกันแล้ว เพลงนี้มีชื่อว่า “Blood Eagle”

ถึงจะบอกว่าเป็นโปรเกรสซีฟเมทัล แต่เพลงนี้ตอบโจทย์คนฟังได้หลายกลุ่มมาก Spencer Sotelo สาดเสียงสำรอกดุดันเอาใจเด็กรุ่นใหม่ได้เต็ม ๆ ริฟฟ์กีตาร์สไตล์เจนต์จากยอดฝีมือทั้งสาม Misha, Jake Bowen และ Mark Holcomb ร่วมกันขับเคลื่อนตัวเพลงไปกับการกระหน่ำกลองกระเดื่องรัวแหลกของ Matt Halpern ได้แบบไม่มีใครยอมใคร ช่วงกลางเพลงเราจะได้เห็นการโชว์พลังเสียงร้องแบบหมดปลอกจาก Spencer กันอีกรอบ ใส่เต็มมาก ๆ และสำหรับคนชอบลูกกีตาร์ขัด ๆ แบบ djent ท้ายเพลงมีให้ฟังกันแบบอิ่มเอมเลยทีเดียว

เพลงนี้จะรวมอยู่ใน Periphery IV: Hail Stan อัลบั้มใหม่ของวงที่จะวางจำหน่ายนวันที่ 5 เมษายนนี้กับค่าย 3DOT Recordings สังกัดของทางวงเอง

[ ที่มา – Theprp.com ]

Viewing all 6406 articles
Browse latest View live